เดลต้าโชว์ของ (อีกแล้ว)

ในระหว่างที่เดี๊ยนกำลังเพลิดเพลินกับการทะยานขึ้นของดัชนีในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะแรงซื้อกระจายไปยังหุ้นกลุ่มต่าง ๆ อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบงก์ ไฟแนนซ์ สื่อสาร และพลังงาน ซึ่งทำให้หุ้นบางตัวทะยานขึ้นอย่างโดดเด่น แต่สุดท้ายก็มาสะดุดตาที่หุ้นร้อนของตลาดหุ้นไทยอย่าง DELTA เพราะเป็นหุ้นเพียงตัวเดียวที่รักษาฟอร์มการวิ่งมาราธอนได้อย่างสุดยอดไงล่ะคะ

ประเด็นตรงนี้ทำให้อีฉันรู้สึกไม่สบายใจอย่างแรง เพราะนับตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. ที่ตลาดหุ้นไทยขึ้นจากระดับ 1,275 จุด จนสุดท้ายขึ้นมายืนอยู่ที่บริเวณ 1,340 จุด หรือปรับตัวขึ้นมากถึง 65 จุด ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นเดลต้าที่ขยับตัวจาก 168 บาท ขึ้นมายืนอยู่ที่บริเวณ 225 บาท หรือปรับตัวขึ้น 57 บาท และมีผลต่อดัชนีประมาณ 57 จุด ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 87 แบบนี้..บ้าไปแล้วพะยะค่ะ

ฉะนั้นการที่วานนี้ดัชนีขึ้นมายืนปิดในระดับ 1,323.52 จุด บวกไป 9.61 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.33 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นเดลต้าทะยานขึ้นมาปิดที่ระดับ 225 บาท บวกไป 20 บาท หรือขึ้นไป 9.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.49 พันล้านบาท ก็ต้องยอมรับว่า นี่เป็นผลมาจากยักษ์ใหญ่ตลาดหุ้นไทยโชว์ของอีกแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากต่อการอธิบายเหลือเกิน เพราะมีความคิดเห็นที่หลากหลายนะตัวเอง

ไล่ตั้งแต่ประเด็นเก่า ๆ ที่มีการพูดกันมานมนานก็คือ กองทุนหัวดำอย่างไต้หวันเป็นเจ้ามือไล่หุ้นแบบสุดซอย ถัดมาเป็นเรื่องกำไรโตต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากขยายกำลังผลิต ต่อจากนั้นมีเรื่องกระแสหุ้นเทคฯ ที่ทั่วโลกให้แวลูค่อนข้างมาก หรือแม้กระทั่งคำพูดที่ว่า เดลต้าเป็นหุ้นเพียงตัวเดียวของตลาดหุ้นไทยที่เป็นธุรกิจโลกใหม่แบบนี้ อีฉันมองเป็นเรื่องที่รับฟังได้ และมีเหตุผลรองรับนะจะบอกให้

ถึงกระนั้นก็อยากให้แฟนคลับพิจารณาข้อเท็จอีกด้านหนึ่ง เพื่อจะได้ประเมินการขึ้นของหุ้นเมคเซนส์ขนาดไหน? หลังการเทรดของหุ้นอยู่บน PE 140 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่โอเว่อร์รีแอคเหลือเกิน ขณะเดียวกันยังมีประเด็นออกหุ้นกู้แปลงสภาพที่มีมูลค่าสูงถึง 1.70 หมื่นล้านบาทในช่วงต้นปี 68 โดยราคาแปลงสภาพหุ้นกู้อยู่ที่ 187.6 บาทต่อหุ้น และจะครบกำหนดไถ่ถอนปี 73 ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดเช่นกันนะออเจ้า

งานนี้จึงขึ้นอยู่กับสมมติฐานอันไหนจะเป็นจริง ซึ่งเป็นเกมที่วัดใจนักเล่นอย่างไม่ต้องสงสัย ขนาดตัวอีฉันยังรู้สึกเสียววาบทุกครั้งที่เห็นหุ้นตัวนี้ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง เพราะกลัวฟองสบู่จะแตกแบบไม่ทันตั้งตัว “โมนิก้า” จึงขอเฝ้าสังเกตการณ์ห่าง ๆ แบบห่วง ๆ น่าจะดีที่สุด เพราะเกมนี้มันฉีกกฎลงทุนทุกอย่างหมดเกลี้ยง และยังเป็นเวทีของก๊วนไต้หวันที่โชว์ของสุดซอยอีกด้วยนะซี

ส่วนรายที่ “โมนิก้า” เริ่มรู้สึกกังวลไม่แพ้กันก็คือ PTTEP หลังราคาหุ้นเริ่มออกอาการยืนไม่ไหว พร้อมกับมีประเด็นกำไรลดพูดกันเนือง ๆ อีฉันถึงมองการยืนปิดที่ระดับ 111 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 0.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 988 ล้านบาท อาจมีประเด็นที่ต้องคิดมากหน่อย เพราะโมเมนตัมของหุ้นออกไปในโทนภูเขา 3 ลูกที่มีลักษณะยอดต่ำลง ซึ่งในทางเทคนิคมีลุ้นแค่เด้งสั้น ๆ นะตัวเอง

ขนาดหุ้นตัวท็อปของตลาดอย่าง CPALL ยังถูกนักลงทุนสถาบันเทกระจาดเอาดื้อ ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประเมินกันว่า ไตรมาส 4 จะเป็นช่วงโกยกำไร ซึ่งจะช่วยดันราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสวย ๆ แต่วานนี้กลับลงมานอนแน่นิ่งอยู่ที่ระดับ 46.75 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 3.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.86 พันล้านบาท ก็เป็นช็อตที่ทำให้อีฉันเกิดอาการลังเลใจว่า หลังจากนี้จะเอาสตอรี่ไหนมาช่วยดันราคาหุ้นล่ะจ๊ะ

โมนิก้าและทีมงาน