
OKJ โอ้ว..กำไรหด.!?
จากหุ้นที่เป็นความหวังของหมู่บ้านนักลงทุน...ถูกคาดหวังสูง สำหรับบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ
จากหุ้นที่เป็นความหวังของหมู่บ้านนักลงทุน…ถูกคาดหวังสูง สำหรับบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ ซึ่งเข้าตลาดฯ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2567 ด้วยไอพีโอ 6.70 บาท ด้วยธุรกิจเติบโตสูง บวกกับเทรนด์รักสุขภาพที่มาแรง ทำให้ผลงานในอดีตสวยหรู…
แต่ตัวเลขวันนี้กับในอดีตแตกต่างกัน ซึ่งตัวเลขไม่จกตาใครนะ แม้ออกมาไม่ถึงกับติดลบ แต่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้..!!
เมื่อถูกตั้งความหวังไว้สูง เวลาผิดหวังก็สูงเช่นกัน จากที่เห็นราคาหุ้น OKJ ประคองตัวยืนเหนือไอพีโอ ก็ต่ำจองไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว ปัจจุบันซื้อขายกันที่ 4 บาทเศษ ซึ่งยังหาแนวรับที่แท้จริงไม่ได้…
ล่าสุดประกาศงบไตรมาส 3/2568 ออกมาสร้างความผิดหวังซ้ำซาก…แม้รายได้จากการขายจะเติบโตถึง 12.3% อยู่ที่ 711.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 633.3 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากแบรนด์โอ้กะจู๋ จำนวน 595.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.27% ส่วนรายได้จากแบรนด์โอ้ จู๊ซ จำนวน 102.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175.54% และแบรนด์โจ วิงส์ จำนวน 10.9 ล้านบาท
แต่กำไรสุทธิวูบหายไปกว่า 70% เหลือแค่ 17.3 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 60.1 ล้านบาท
ดูไม่จืดเลยจริง ๆ…
พอไปแงะแกะดูไส้ใน…การขยายสาขาเพิ่มขึ้นจากปีก่อนก็จริง โดยแบรนด์โอ้กะจู๋ ในไตรมาส 3/2568 ขยาย 1 สาขา ส่วนในช่วง 9 เดือนแรก ขยายไป 7 สาขา ส่งผลให้ ณ สิ้น ก.ย. 2568 มีสาขารวมทั้งสิ้น 44 สาขา ส่วนแบรนด์โอ้ จู๊ซ ในช่วงไตรมาส 3/2568 ขยาย 1 สาขา ส่วนในช่วง 9 เดือนแรก ขยายไป 18 สาขา ส่งผลให้ ณ สิ้น ก.ย. 2568 มีสาขารวมทั้งสิ้น 25 สาขา ขณะที่แบรนด์โจ วิงส์ ในช่วงไตรมาส 3/2568 ขยาย 1 สาขา ส่งผลให้ ณ สิ้น ก.ย. 2568 มีสาขารวมทั้งสิ้น 2 สาขา
แต่…อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) กลับติดลบไป 23% สาเหตุหลักมาจากการลดลงของยอดขายสาขาในเมืองและสาขาในโซนที่มีการแข่งขันสูง และฐานเปรียบเทียบที่สูงจากปีก่อน ผสมโรงกับได้รับผลกระทบจากฤดูฝน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภคที่อ่อนตัวลง
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเหลือแค่ 42% ลดลงจาก 45.2% ในไตรมาส 3/2567 และ 43.8% ในไตรมาส 2/2568 ถูกกดดันจากการทำโปรโมชันเพื่อกระตุ้นยอดขาย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) กลับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการเติบโตของรายได้จากการขยายสาขา ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเหลือเพียง 2.7% ลดลงจาก 9.4% ในไตรมาส 3/2567 และ 3.4% ในไตรมาส 2/2568
ก็เห็นการถดถอยของหลาย ๆ ตัวเลขของงบ OKJ…
การถดถอยตรงนี้บ่งบอกว่าภาวะเศรษฐกิจในบ้านเราไม่ดีเอาซะเลย จากเมื่อก่อนแค่กลุ่มคนชั้นกลางและกลุ่มรากหญ้าที่ได้รับผลกระทบ มาวันนี้ดูเหมือนจะลุกลามไปสู่กลุ่มคนชั้นกลางค่อนไปบนแล้วนะ…อย่าลืมว่าฐานลูกค้าของโอ้กะจู๋เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง
แหม๊…ใครจะกล้าเดินเข้าร้านโอ้กะจู๋ กินสลัดจานละ 300-400 บาท และสั่ง Oh! Juice น้ำปั่นแก้วละ 200-300 บาท ถ้าเงินในกระเป๋าไม่หนาพอ…จริงมั้ย..!?
แต่พอเศรษฐกิจซบเซาอย่างนี้ ทำให้หลายคนเข้าสู่โหมดเซฟโซน เซฟเงินในกระเป๋าก่อนจะเซฟสุขภาพ จากเมื่อก่อนอาจจะเซฟสุขภาพก่อนเงินในกระเป๋า แต่มาวันนี้ให้ความสำคัญกับกระเป๋าเงินมากกว่าเรื่องของสุขภาพไปแล้ว ซึ่งหากเศรษฐกิจยังเป็นแบบนี้ ดูแล้ว OKJ น่าจะเหนื่อยต่อไป ซึ่งไม่รู้จะฟื้นกลับมาได้เมื่อไหร่..??
เมื่อภาพการเติบโตยังเลือน ๆ ลาง ๆ เมื่อวันศุกร์ที่ 14 พ.ย. 2568 เลยเห็นนักลงทุนพากันหนีตายจากหุ้น OKJ กันจ้าละหวั่น ส่งผลให้ราคารูดไปเกือบ 10% ปิดตลาดที่ 4.22 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 25.97 ล้านบาท
บอกคำเดียวว่า เละเป็นโจ๊ก..!?
ตอนนี้คงทำได้แค่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ไปก่อนนะออเจ้า…
…อิ อิ อิ…