MALEE พุ่งกว่า 6% นิวไฮในรอบ 4 เดือน รับยอดส่งออกฟื้น-ร่วมทุนอินโดฯ

MALEE พุ่งกว่า 6% นิวไฮในรอบ 4 เดือน รับยอดส่งออกฟื้น-ร่วมทุนอินโดฯ ล่าสุด ณ เวลา 16.19 น. อยู่ที่ 47 บาท บวก 2.75 บาท หรือ 6.21% สูงสุดที่ 48.25 บาท ต่ำสุดที่ 43.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 331.17 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ล่าสุด ณ เวลา 16.19 น. อยู่ที่ 47 บาท บวก 2.75 บาท หรือ 6.21% สูงสุดที่ 48.25 บาท ต่ำสุดที่ 43.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 331.17 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.56% ทั้งนี้ราคาหุ้น MALEE ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 4 เดือน นับตั้งแต่ราคาอยู่ที่ระดับ 47 บาท เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.60

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในวันนี้ คาดว่ามาจากการส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่อง และบริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท KINO จัดตั้งบ.ย่อย 2 บริษัทเพื่อขยายธุรกิจในประเทศไทยและอินโดนีเซีย

ด้าน บล.ทิสโก้ แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 50.50 บาท/หุ้น คาดผ่านพ้นกำไรต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/60 และเริ่มผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพร่วมทุนกับบ. MEGA การส่งออกในส่วนรับจ้างผลิตจะเริ่มฟื้นตัวในปีหน้าหลังจากการปรับปรุงระบบการผลิตน้ำมะพร้าวเป็นที่เรียบร้อย

รวมถึงการส่งออกของแบรนด์มาลีเองยังเติบโตต่อเนื่องจากการทำการตลาดกับกลุ่มตัวแทนจำหน่ายมากยิ่งขึ้นและยังมี upside จากการร่วมทุนกับพันธมิตรใหม่ KINO ในการขยายตลาดส่งออกซึ่งยังไม่รวมในประมาณการ

โดย MALEE ขยายตลาดในประเทศและอินโดนีเซียผ่านบริษัทย่อย MCC โดยประกาศเข้าร่วมทุนกับบริษัท PT Kino Indonesia Tbk (KINO) และบริษัทย่อย KINO จัดตั้งบริษัทร่วมค้า 2 บริษัท ได้แก่บริษัท มาลี คีโน่ ประเทศไทย จำกัด หรือ MKT โดย MCC ถือหุ้น 51% ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจในประเทศ นำเข้าและจำหน่าย การทำกิจกรรมตลาดและจำหน่ายสินค้าในกลุ่มบริษัท KINO ได้แก่ ของใช้ส่วนตัว เครื่องดื่ม รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับตลาดในประเทศไทย

พร้อมทั้ง บริษัท พีที คีโน่ มาลี อินโดนีเซีย หรือ PKM โดย MCC ถือหุ้น 49% ทุนจดทะเบียน 8 หมื่นล้านรูเปีย หรือ 200 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจต่างประเทศรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับตลาดในประเทศอินโดนีเซีย โดยแหล่งเงินลงทุน 200 ล้านบาท มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มีอยู่

ขณะที่มองว่าการร่วมทุนครั้งนี้จะช่วยทั้ง MALEE และ KINO ในด้านช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งโมเดิร์นเทรดและร้านค้าปลีกในอินโดนีเซีย และการพัฒนาสินค้าร่วมกันในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

พร้อมกันนี้ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/60 อยู่ที่ 84 ล้านบาท ลดลง 47% จากปีก่อน เพิ่มขึ้น 37% จากไตรมาสก่อน โดยคาดรายได้อยู่ที่ราว 1,550 ล้านบาท ลดลง 12% จากปีก่อน เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน ลดลงเทียบกับปีที่ผ่านมาใกล้เคียงกับกลุ่มน้ำผลไม้ในตลาด premium ที่ลดลงราว 13% จากปีก่อน ประกอบกับปีที่ผ่านมายังเป็นช่วงฐานรายได้สูงทั้งในประเทศและส่งออกในขณะที่ปีนี้มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตของกลุ่มน้ำมะพร้าวส่งผลให้ยอดส่งออกต่ำกว่าช่วงเดียวกัน

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน คาดรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการทำโปรโมชั่นและรีแบรนด์สินค้าใหม่ ประกอบกับไตรมาส 2/60 มีรายได้ฐานต่ำกว่าปกติจากการปรับแบรนด์สินค้าใหม่และยอดส่งออกของแบรนด์เองที่เติบโต แต่อย่างไรก็ตามยอดรับจ้างผลิตของกลุ่มน้ำมะพร้าวยังทรงๆเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

นอกจากนี้คาดว่าการส่งออกรวมจะกลับมาเติบโตได้ 20% ในปี 2561-62 หลังจากบริษัทได้ปรับปรุงมาตรฐานสินค้าเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกจากแบรนด์มาลียังคงเติบโตเพิ่มขึ้นจากการทำการตลาดในกลุ่ม CLMV จากการร่วมทำการตลาดและโปรโมชั่นกับ distributor ในแต่ละประเทศเพิ่มมากขึ้น

สำหรับยอดขายในประเทศปี 60 คาดลดลง 15% เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อแบรนด์มาลีเองและลูกค้ารับจ้างผลิต และคาดปี 2561-62 จะเติบโตได้ 5% ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและจากฐานเดิมที่ต่ำแล้ว โดยกำไรสุทธิ 9 เดือนปี 60 คิดเป็น 66% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเราและคาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/60 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากการทำโปรโมชั่นในช่วงเทศกาลปีใหม่

ส่วนไตรมาส 4/60 บริษัทมีแผนเปลี่ยนไลน์การผลิตใหม่ 1 ไลน์ เป็นระบบ PET ที่สามารถรองรับการผลิตได้หลากหลายมากขึ้น คาดจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ใน 4Q17 นี้ ด้านผลประกอบการในฟิลิปปินส์จะเริ่มจุดคุ้มทุนในปี 2562 คาดกำไรสุทธิปี 60 ลดลง 26% และในปี 2561-62 เติบโตเฉลี่ยปีละ 16% (CAGR2y) บริษัทมีแผน M&A ขยายตลาดในแถบอาเซียนในปีหน้า

 

Back to top button