ข้อเท็จจริง-ภาพลักษณ์

บนเส้นทางวิชาชีพสื่อ การทำงานบนข้อเท็จจริง และมายา เป็นปรากฏการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่พ้นตลอดเวลา ทำนองเดียวกับนิยายจีนเรื่องเยี่ยม "ความฝันในหอแดง" ในปลายราชวงศ์หมิง 


พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล

บนเส้นทางวิชาชีพสื่อ การทำงานบนข้อเท็จจริง และมายา เป็นปรากฏการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่พ้นตลอดเวลา ทำนองเดียวกับนิยายจีนเรื่องเยี่ยม “ความฝันในหอแดง” ในปลายราชวงศ์หมิง 

ดังนั้นกรณีที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทมหาชนจดทะเบียนที่ผลิต ทำการตลาด และขายเวชภัณฑ์ดาวรุ่งอย่าง บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY คือ สามี-ภริยา นายแพทย์สุวิน และ นางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ ขายหุ้นเมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา รวม 140 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.66% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ให้แก่นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงนักลงทุนบุคคลรายใหญ่ จำนวน 71 รายการ รวม 140 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 18.80 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 2,632 ล้านบาท จนกระทั่งสัดส่วนการถือหุ้นลดลงไปต่ำกว่า 25.00% จึงเป็นข้อเท็จจริงที่คนในวิชาชีพสื่อที่เป็น “มืออาชีพ” (ไม่ใช่สื่อสัมภเวสี หรือ สื่อเชียร์แขก) ต้องตั้งประเด็นคำถามถึงสาเหตุและแรงจูงใจดังกล่าว

เหตุผลเพราะโดยประสบการณ์ที่ผ่านมา บริษัทมหาชนจดทะเบียนที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ทิ้งหุ้นจนหลุดจากเส้นแบ่งสำคัญที่เรียกว่า “มวลวิกฤต” หรือ critical mass ระดับต่ำสุด 25% นั้น มักจะลงเอยในท้ายที่สุดด้วย 2 เหตุการณ์ คือ 1) การทิ้งกิจการไป แล้วทิ้ง “ขยะ” เอาไว้ จนยุ่งเหยิงไปหมดยิ่งกว่าลิงแก้แห หรือ 2) ผู้ถือหุ้นรายใหม่รวบหุ้นจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด เข้าทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ เพื่อฮุบกิจการไปตามเกม M&A โดยผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมต่อสู้ขัดขวางพอเป็นพิธี แล้วโกยเงินสดกลับบ้าน หรือไปเปิดกิจการใหม่เล็กๆ น้อยๆ ฆ่าเวลาบนความร่ำรวยส่วนตัว

เหตุผลสำคัญ คือ หากผู้ถือหุ้นใหญ่ (จะเป็นกลุ่มหรือบุคคล) ก็ตาม หากต้องการรักษาสัดส่วนกลับมาซื้อหุ้นคืน เพื่อหวังครองหุ้นมากกว่า 25% จะต้องทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ ที่ต้องใช้ทุนมหาศาลในการรับซื้อ ซึ่งไม่ง่าย

ที่สำคัญ หากสืบค้นย้อนหลังไปจะพบว่า นายแพทย์สุวินและภริยา ทำการขายหุ้นเป็นระยะๆ มาต่อเนื่องนับแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ดังจะเห็นว่า หลังจากการระดมทุนในตลาดหุ้นครั้งแรกในปลายปี 2555 ที่ราคาพาร์ 1.00 บาท มีรายชื่อนายแพทย์สุวิน ถือครองหุ้นคนเดียว 70.85% แต่ในปี 2556 สัดส่วนของนายแพทย์สุวินลดลงเหลือ 32.33% และมีชื่อภริยาโผล่มาถือหุ้นร่วมในสัดส่วน 24.33% รวมแล้วตระกูลไกรภูเบศมีสัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือ 56.66% จากการขายหุ้นออกบางส่วนในปีนั้น

ในปี 2557 มีการขายหุ้นออกอีก ทำให้สัดส่วนของภริยานายแพทย์สุวินลดเหลือ 12.92% แต่ของนายแพทย์สุวินยังคงเดิม มีผลทำให้สัดส่วนของตระกูลไกรภูเบศลดลงเหลือแค่ 45.25%

ในปี 2558 เป็นนายแพทย์สุวินทำการขายหุ้นออกอีกจำนวน 2 ครั้ง รวม 9.35 ล้านหุ้น ทำให้สัดส่วนถือหุ้นลดลงเหลือแค่ 24.13% โดยที่สัดส่วนถือหุ้นตระกูลไกรภูเบศลดลงมาเหลือที่ 37.05%

ก่อนที่ในต้นปี 2559 BEAUTY จะทำการแตกพาร์และเทรดในราคาใหม่ที่พาร์ 0.10 บาท ซึ่งมีผลทำให้ราคาหุ้นซึมยาวใต้ 5 บาทไปนานหลายเดือน ก่อนที่ราคาจะทะยานขึ้นรุนแรงมาเหนือ 10 บาท แล้วก็ปรากฏมีตัวเลขการแจ้งขายหุ้นระลอกใหญ่ ของนายแพทย์สุวินและภริยารวมกันอีก 300 ล้านหุ้นที่ราคาระดับ 11.00 บาท อันเป็นราคาต่ำกว่าตลาด

แล้วการขายในปี 2559 นี้เอง ที่นายแพทย์สุวินออกมาประกาศในการให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่มีการขายหุ้น BEAUTY ออกมาอีก เนื่องจากสัดส่วนการถือหุ้นที่ 25.94% มีความเหมาะสม แต่แล้วการขายหุ้นก็เกิดขึ้นอีกในครั้งล่าสุด

การขายหุ้นเมื่อได้จังหวะเป็นระยะเกือบทุกปี รวมทั้งครั้งล่าสุดนี้ จนกระทั่งสัดส่วนถือหุ้นที่เคยถือครองตอนเข้าตลาดมากกว่า 70% ลงมาเหลือแค่ 21% เศษ โดยที่ไม่มีท่าทีหรือสัญญาณใดๆ ว่าจะนำเงินไปลงทุนใหม่อะไร หรือมีความจำเป็นต้องการใช้เงินอื่นใด หรือเพราะธุรกิจเวชภัณฑ์ที่อยู่เริ่มอิ่มตัวไปต่อไม่ได้ แสดงเจตนาชัดเจนว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นผู้ก่อตั้งด้วย ต้องการถอนตัวออกจากกิจการโดยพฤตินัย แม้จะไม่ยอมเปิดเผยโดยนิตินัยว่าด้วยเหตุผลอะไร ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

คำให้สัมภาษณ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ของนายแพทย์สุวิน ผ่านหลายช่องทางหลังการขายหุ้นจนสัดส่วนถือรองหุ้นอยู่ในสภาพปริ่มน้ำ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกเทกโอเวอร์กิจการในอนาคตว่า 1) ยังไม่มีแผนจะขายหุ้นออกเพิ่มเติมในอนาคต 2) ยังคงนโยบายรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไม่ให้ต่ำกว่า 20% ของทุนจดทะเบียน 3) รักษาปริมาณหุ้นที่ซื้อขายหมุนเวียนในตลาดฯที่ประมาณ 80% โดยมีสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ 4)​ ตั้งเป้าในปีนี้จะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% และอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 20% จึงเป็นการให้คำมั่นสัญญาที่น่าตั้งเป้า

คำถามว่า ควรที่นักลงทุนจะให้ความเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน

BEAUTY นั้นเติบโตมาจากการตลาดและการสร้างแบรนด์ธุรกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งนายแพทย์สุวินเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ แต่ข้อเท็จจริงที่นักการตลาดทุกคนยอมรับโดยปริยายคือว่าการตลาดนั้นมีมายาคติปะปนค่อนข้างสูง ดังคำพูดอันโด่งดังของ Seth Godin ผู้ที่เคยเขียนหนังสือด้านการตลาดขายดีระดับโลกหลายปีก่อน ชื่อว่า “นักการตลาดทุกคนเป็นคนโกหก” (All Marketers are Liars)

ดังนั้น ตราบใดที่นายแพทย์สุวิน ยังไม่สามารถสร้างความกระจ่างได้ว่าข้อเท็จจริงในการขายหุ้นทิ้งจนหลุดภาวะมวลวิกฤต กับภาพลักษณ์อันสวยหรูของ BEAUTY ที่ต้องการให้นักลงทุนเชื่อต่างกันอย่างไร อนาคตของราคาหุ้น BEAUTY ก็มีโอกสาที่จะ “ต้องคำสาป” ไปอีกยาวนาน โดยที่งานประชาสัมพันธ์องค์กร หรือสื่อสัมภเวสี-ขาเชียร์ ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก หรือไม่ได้เลย

เหตุผลเดียวที่อธิบายได้ (ในฐานะคนชอบพอกัน) คือ BEAUTY เป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนที่ต้องการข้อเท็จจริง มากกว่าบริษัทหรือสมบัติส่วนตัวที่จะบิดเบือนสร้างภาพลักษณ์ตามคำสั่งของใครบางคนได้

Back to top button