โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” LPN ลุ้นปีนี้โกยยอดขาย 1.8 หมื่นลบ. หลังจ่อผุด 4 โครงการใหม่ 6.5พันลบ.

โบรกฯเชียร์ "ซื้อ" LPN ลุ้นโกยยอดขาย 1.8 หมื่นลบ. หลังจ่อเปิด 4 โครงการใหม่ 6.5 พันลบ. เคาะราคาเป้าสูง 14.20 บาท อัพไซด์สูง 42%


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นของ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2561 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง

โดยราคาหุ้น LPN ปิดตลาดวานนี้ (8 ต.ค.61) ที่ระดับ 10 บาท ลบ 0.10 บาท หรือ 0.99% สูงสุดที่ระดับ 10.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9.95 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 86.39 ล้านบาท

ด้านนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ LPN เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4/2561 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,500 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการในทำเลนราธิวาส-รัชดา ซึ่งภายในโครงการจะมีทั้งคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงาน มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท, โครงการในทำเลงามวงศ์วาน เป็นคอนโดมิเนียม มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท, โครงการในทำเลสุขุมวิท 64 เป็นคอนโดมิเนียม มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท และจะเปิดขายอาคารสำนักงานในทำเลวิภาวดี มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากบริษัทสามารถเปิดตัวโครงการได้ตามแผนที่ตั้งไว้ในช่วงไตรมาส 4/2561 จะส่งผลให้ทั้งปี 2561 บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่รวมจำนวน 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 15,500 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.) บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี หากบริษัทสามารถเปิดตัวโครงการได้ตามแผนที่ตั้งไว้ในช่วงไตรมาส 4/2561 คาดว่าบริษัทจะมียอดขายรวมในปี 2561 ประมาณ 18,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวมแล้วประมาณ 14,000 ล้านบาท มาจากโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 10,000 ล้านบาท และจากโครงการแนวราบประมาณ 4,000 ล้านบาท

ด้านนักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น 22% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันสะท้อนในการเติบโตของกำไร 9 เดือนแรกของปี 2561 ที่ไม่น่าดึงดูดใจไปมากแล้ว แต่กำไรกำลังจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 4/61 (คิดเป็นประมาณ 50% ของกำไรทั้งปี)

ทั้งนี้เห็นถึงความชัดเจนของกำไรในระยะกลาง-ยาวที่ปรับตัวดีขึ้นมาก หนุนโดยยอดขายรอรับรู้รายได้ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปีที่ ผ่านมา โดยมูลค่าหุ้นที่ไม่แพงมากนัก ซื้อขายที่ PER ปี 2561 เท่ากับ 9.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2549-2560 ที่ 9.8 เท่า โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายเท่าเดิม ณ สิ้นปี 2561 ที่ระดับ 14.20 บาท อ้างอิง PER ที่ 13 เท่า อัพไซด์สูง 42%

โดยคาดว่าในไตรมาส 3/61 กำไรฟื้นตัวเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำในไตรมาส 3/60 หลังจากทรงตัวในครึ่งแรกของปี 2561 อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายอสังหาฯ เพื่อที่อยู่อาศัยจะขยายตัวอย่างมากจากต่ำสุดในเป็นประวัติการณ์เพียง 25% ในไตรมาส 3/60 (เนื่องจากยอดขายสินค้าคงคลัง) มาอยู่ในระดับปกติที่ 29.5% ในไตรมาส 3/61 กำไรและรายได้น่าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อนในไตรมาส 3/61

เนื่องจากโครงการคอนโดขนาดเล็กเริ่มโอน (Kaset, มูลค่าโครงการอยู่ที่ 1 พันล้านบาท, ยอดจองซื้อเต็มแล้ว) กำไรจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 4/61 เนื่องจากการคาดการณ์การเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 140% จากปีก่อน และ 200% จากไตรมาสก่อน จากการเริ่มโอน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ Makkasan  (2.7 พันล้านบาท , ยอดจองซื้อ 90 %), โครงการ Dindaeng  (1.8 พันล้านบาท, ยอดจองซื้อ 70%) และโครงการ BAAN 365 (3.2 พันล้านบาท, ยอดจองซื้อ 56%) อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายอสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัยทุบสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปีสูงกว่า 30% ในไตรมาส 4/61

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2561 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 52% มาอยู่ที่ 21 ล้านบาท (โครงการคอนโด 80% และ โครงการแนวราบ 19% สูงกว่าที่วางแผนตอนต้นปีที่วางไว้ที่ 18 พันล้านบาท ดังนั้นคาดว่ายอดจองซื้อทั้งหมดจะอยู่ที่ 18.4 พันล้านบาทในปี 2561 (โครงการคอนโด 76% และโครงการแนวราบ 24%) ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 14% ในปีนี้ แต่ต่ำกว่าเป้าหมายของผู้บริหารที่ 20 พันล้านบาท

ทั้งนี้ LPN ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ตลาดโครงการแนวราบในปี 2561 โดยมียอดจองซื้อโครงการแนวราบที่คาดว่าจะเติบโต 150% จากช่วงเดียวกันปีก่อน กลบกับยอดจองซื้อที่ลดลง 14% ในโครงการคอนโด สำหรับรายไตรมาสนั้นประมาณการการเติบโตยอดจองซื้อรายไตรมาสเพิ่มขึ้น 13% เทียบจากปีก่อน มาอยู่ที่ 5.4 พันล้านบาทในไตรมาส 3/61 และ 12% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 4.4 พันล้านบาทในไตรมาส 4/61 ทั้งนี้ด้วยการเปิดตัวโครงการคึกคักต่อเนื่อง ทำให้คาดยอดขายรอรับรู้รายได้ของ LPN จะเข้าสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2561

Back to top button