SELIC เด้งกว่า 6% นิวไฮรอบ 1 ปี คาดผลงานครึ่งปีหลังสดใสรับไฮซีซั่น หนุนรายได้ปี 61 โต 10%

SELIC เด้งกว่า 6% นิวไฮรอบ 1 ปี คาดผลงานครึ่งปีหลังสดใสรับไฮซีซั่น หนุนรายได้ปี 61 โต 10% โดย ณ เวลา 15.44 น. อยู่ที่ระดับ 2.98 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท หรือ 6.43% สูงสุดที่ระดับ 2.98 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.78 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 24.69 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ล่าสุด ณ เวลา 15.44 น. อยู่ที่ระดับ 2.98 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท หรือ 6.43% สูงสุดที่ระดับ 2.98 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.78 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 24.69 ล้านบาท

โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 1 ปี 2 เดือน 10 วัน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 3.04 บาท เมื่อวันที่ 8 ส.ค.60

นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SELIC เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปีนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจที่จะมีการใช้กาวอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก เห็นได้จากภาคเอกชนเริ่มมีการลงทุนมากขึ้น ทั้งภายในประเทศและการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทยังมั่นใจว่าปีนี้รายได้ทั้งปีน่าจะเติบโต 10% จาก 595 ล้านบาทในปีก่อน จากการขยายตลาดอุตสาหกรรมใหม่ ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศคิดเป็น 55-60% และในต่างประเทศคิดเป็น 40-45%

ขณะที่ ในส่วนของกำไรสุทธิปีนี้ บริษัทจะพยายามรักษาให้ใกล้เคียงกับระดับ 18.85 ล้านบาทในปีก่อน แม้ว่าครึ่งแรกปีนี้จะทำได้เพียง 4.76 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากบริษัทมีแผนปรับขึ้นราคาสินค้า และควบคุมต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายให้มีความเหมาะสมมากขึ้น รวมถึงเฝ้าระวังสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมโดยการล็อคต้นทุนวัตถุดิบในระยะยาว ขณะเดียวกันในครึ่งปีหลังบริษัทก็เตรียมออกผลิตภัณฑ์กาวใหม่ จากทั้งปีคาดว่าจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่น้อยกว่า 10 รายการ

ด้านกำลังการผลิตของบริษัท ยังมีเพียงพอรองรับกับความต้องการของตลาดและความต้องการสินค้าใหม่ ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 9,000 ตันต่อปี และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 70%

“เรามองตลาดกาวโลกยังมีการเติบโตในอัตรา 5% หรือคิดเป็นมูลค่ารวมราว 1 หมื่นล้านเหรียญฯ ขณะที่ตลาดกาวในประเทศไทย ก็ยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ จะเห็นได้จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อเราที่จะได้รับคำสั่งซื้อมากขึ้น ซึ่งเราก็มั่นใจว่าภาพรวมตลาดดี เป้าหมายรายได้ที่วางไว้ 10% ก็น่าจะเป็นไปได้” นายเอก กล่าว

นอกจากนี้ นายเอก กล่าวอีกว่า บริษัทยังคาดหวังจะมีการเลือกตั้งในปี 62 หลังจากจะปลดล็อคการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการทุกอุตสาหกรรมให้มีการลงทุนมากขึ้น และส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนหนุนให้มีความต้องการใช้กาวในอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น

สำหรับการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมลงทุน (JV) นั้น ปัจจุบันบริษัทก็อยู่ระหว่างศึกษาและมองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน หรือใกล้เคียงกัน แต่คาดว่ายังต้องใช้เวลาในการศึกษาอีกสักระยะหนึ่ง

Back to top button