GGC-KTIS เซ็นกู้เงิน KTB ลุยพัฒนา “นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์” คาดเปิดดำเนินการไตรมาส 1/64

GGC-KTIS เซ็นกู้เงิน KTB ลุยพัฒนา "นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์" คาดเปิดดำเนินการไตรมาส 1/64


กลุ่มบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC กลุ่มบริษัท เกษตรไทยอินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ร่วมลงนามในสัญญาเงินกู้เพื่อการก่อสร้างโครงการ “นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์” ในวันนี้ (27 มี.ค.) ซึ่งมีมูลค่าโครงการไม่เกิน 7.5 พันล้านบาท

ด้านนายเสกสรร อาตมางกูร กรรมการผู้จัดการ ของ GGC กล่าวว่า โครงการ “นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์” (Nakhon Sawan Biocomplex : NBC) ร่วมกับ KTIS มาระยะหนึ่ง ดำเนินการภายใต้บริษัทร่วมทุนบริษัท จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเทรียล จำกัด (GKBI) โดยมีบริษัทย่อยของ GGC ถือหุ้น 50% ร่วมกับบริษัทย่อยของ KTIS ถือหุ้น 50% โดยมีเงินลงทุนจากการกู้ยืม 5.2 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือมาจากเงินทุนของกลุ่ม GGC และกลุ่ม KTIS ไม่เกินรายละ 1.3 พันล้านบาท

ทั้งนี้ NBC ถือเป็นไบโอคอมเพล็กซ์และ Bio Hub ครบวงจรแห่งแรกของไทย และนับเป็นการต่อยอดอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนพฤษภาคม 2562 และดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 1/64

นายเสกสรร กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์นี้ แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เป็นโครงการก่อสร้างโรงหีบอ้อย มีกำลังการผลิต 24,000 ตันต่อวัน โครงการก่อสร้างโรงผลิตเอทานอลมีกำลังการผลิต 600,000 ลิตรต่อวัน (หรือราว 186 ล้านลิตรต่อปี) และโรงผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ มีกำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้า 85 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 475 ตันต่อชั่วโมง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการลงทุนต่อยอดการผลิตเคมีภัณฑ์และพลาสติกชีวภาพในระยะที่ 2 ด้วย

สำหรับระยะที่ 2 ได้มีการศึกษา Cellulosic Technology ร่วมกับพันธมิตรต่างประเทศ ซึ่งเป็นการนำชานอ้อยมาสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ หรือวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับการก่อสร้างโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์เป็นหนึ่งในการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์การดำเนินโครงการเพื่อการเติบโตในธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Growth Strategy ของบริษัท ซึ่งสอดรับกับนโยบายโครงการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพหรือ Bioeconomy ของภาครัฐ กอปรกับการที่รัฐบาลได้อนุมัติสิทธิประโยชน์และข้อกำหนดต่าง ๆ ทำให้กลุ่ม GGC เป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น พร้อมก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างมหาศาล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ คือ สร้างงานให้เกษตรกรในพื้นที่ สร้างงานจากโรงงานเอทานอลได้มากกว่า 400 คน สร้างรายได้จากอ้อย สร้างพื้นที่ปลูกอ้อยกว่า 240,000 ไร่ ทดแทนพื้นที่ปลูกข้าว ซึ่งลดปริมาณการใช้น้ำถึง 30%

ด้านสังคม คือ สร้างองค์ความรู้ต่างๆ แก่คนในพื้นที่จากการนำเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่มาใช้ ลดการย้ายถิ่นฐานเพื่อแสวงหาตำแหน่งงานในเมืองใหญ่ นำมาซึ่งความเจริญต่างๆ สู่ท้องถิ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม และสุดท้าย ด้านสิ่งแวดล้อม คือ การสร้างโรงงานเอทานอล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 1 ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ลดการปล่อยน้ำเสีย

รวมทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรในการใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยว ซึ่งจะช่วยลดฝุ่นควันและมลพิษจากการเผาอ้อยที่เกิดจากการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งสามารถตัดอ้อยได้ถึง 300-400 ตันต่อวันและมีการรับซื้อใบอ้อยจากเกษตรกรสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงเสริมของโครงการ พร้อมส่งเสริมการใช้ใบอ้อยที่มีสารอาหารไปทำปุ๋ยด้วย

Back to top button