
“พาณิชย์” ปลดล็อกกฎซื้อหุ้นคืน “บจ.” รื้อพักคอย 6 เดือน–ขยายเวลาขายหุ้นคืนเป็น 5 ปี
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าใช้กฎซื้อหุ้นคืนฉบับใหม่ ปลดล็อกบริษัทมหาชน ไม่ต้องพักคอย 6 เดือน และขยายเวลาขายหุ้นคืนเป็นไม่เกิน 5 ปี เพิ่มความยืดหยุ่นบริหารทุนตามสภาพตลาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ประกาศบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2568 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 142 ตอนที่ 75 ก ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568
โดยกฎกระทรวงฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงเกณฑ์การซื้อหุ้นคืนของบริษัทมหาชนจำกัด ให้มีความยืดหยุ่นและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุน โดยมีสาระสำคัญ 2 ประเด็น
- ยกเลิกระยะเวลาพักคอย (Breaking Period) จากเดิมบริษัทมหาชนต้องรอ 6 เดือน ก่อนเริ่มโครงการซื้อหุ้นคืนใหม่ กฎกระทรวงฉบับนี้ปรับปรุงให้สามารถเริ่มโครงการใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารทุนของบริษัท
- ขยายระยะเวลาการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน จากเดิมบริษัทต้องจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน ภายใน 3 ปี หากแต่หลักเกณฑ์ใหม่สามารถขยายกรอบเวลาได้อีก 2 ปี เพื่อให้บริษัทสามารถเลือกช่วงเวลาในการจำหน่ายที่เหมาะสมกับสภาพตลาดได้มากขึ้น
“การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทมหาชนจำกัด สามารถวางแผนการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินได้มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องและศักยภาพของตลาดทุน สร้างประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ตลาดทุน และเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ พร้อมทั้งลดข้อจำกัดด้านกรอบเวลาการจำหน่ายหุ้นคืนให้บริษัทสามารถขายหุ้นคืนในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้มากขึ้น” อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าว
นายพูนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับปรุงกฎกระทรวงครั้งนี้สอดรับกับคำแถลงนโยบายของรัฐบาล และสนับสนุนนโยบายของ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ทันสมัยและเอื้อต่อการแข่งขัน ผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบและกระบวนการอนุญาตให้มีความสะดวก โปร่งใส และเป็นมิตรต่อผู้ประกอบการ เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการไทยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะเดินหน้าลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ และสนับสนุนการยกระดับตลาดทุนไทยให้ทันสมัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ และคาดหวังว่าการปรับปรุงกฎกระทรวงครั้งนี้ จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการทุนของบริษัทมหาชนจำกัด และสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนไทยให้มีความมั่นคง โปร่งใส และแข่งขันได้ในระยะยาวต่อไป




