SABINA ปลื้มไตรมาส 1/62 กวาดกำไรโต 20% ลุ้นรบ.ใหม่กระตุ้นกำลังซื้อหนุนทั้งปีโตตามเป้า 10%

SABINA ปลื้มไตรมาส 1/62 กวาดกำไรโต 20% ลุ้นรบ.ใหม่กระตุ้นกำลังซื้อหนุนทั้งปีโตตามเป้า 10%


นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2562 ซาบีน่ายังสามารถสร้างการเติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของกลยุทธ์การทำตลาด ที่บริษัทฯ ตัดสินใจกระตุ้นกำลังซื้อตั้งแต่ต้นปีด้วยการนำเสนอสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ “ซีมเลส ฟิต” (Seamless Fit) พร้อมทั้งเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่มี “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ตต์” กลับมาสร้างความฮือฮาอีกครั้งในฐานะพรีเซนเตอร์ตัวแม่

“ก่อนหน้านี้ “ชมพู่-อารยา” เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าคอลเลคชั่นไวร์เลส เชฟ บราไร้โครง แต่มีทรง จนทำให้กลายเป็นสินค้าแชมเปี้ยนที่มียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ ดังนั้น ความต่อเนื่องในการนำเสนอคอลเลคชั่นใหม่ “ซีมเลส ฟิต” (Seamless Fit) ที่เน้นความลื่น ใส่สบาย ไร้รอยต่อ ไม่มีตะเข็บ แต่ให้ทรงสวย ซึ่งเป็นนวัตกรรมการผลิตพิเศษที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้ได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคอย่างคึกคัก ขณะเดียวกัน

ต้องยอมรับว่า จังหวะเวลาในการทำตลาดนั้นพอดีกับกระแสละคร “กรงกรรม” ที่มาแรง จากเรทติ้งที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนอวสาน ทำให้การวางสื่อโฆษณาในช่วงเวลาละครออนแอร์ยิ่งสร้างการจดจำให้กับผู้บริโภค เช่นเดียวกับในโลกออนไลน์ที่คลิปไวรัลโฆษณา “ซีมเลส ฟิต” (Seamless Fit) ได้รับการส่งต่อและพูดถึงอย่างกว้างขวาง” นายบุญชัยกล่าว

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของ SABINA ยังคงเติบโตจากช่องทางขายออนไลน์ (Non-Store Retailing : NSR) โดยขยายตัวเพิ่มขึ้น 61.47% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการใช้กลยุทธ์ Product mixed เน้นการนำเสนอสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น และทำการตลาดแบบลงลึกในแต่ละช่องทางเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายแบบตรงจุด

ขณะที่ช่องทางหลัก ได้แก่ ช่องทางรีเทล ผ่านเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าและซาบีน่า ช้อป ยังคงเติบโตได้ดี โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 8.24% จากปีก่อน เช่นเดียวกับการส่งออกสินค้าแบรนด์ SABINA ไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) ที่เติบโต 42.66% ส่วนการรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับลูกค้าในแถบยุโรปยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสามารถขยับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เพิ่มขึ้นจาก 53.03% มาอยู่ที่ 54.67% ซึ่งเป็นผลจากการส่งคำสั่งผลิตสินค้าให้กับโรงงานที่เป็นพันธมิตรในต่างประเทศ ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าการผลิตเอง และสามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้ในทุกขั้นตอนการผลิต

“ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกในปีนี้ ถือว่าเป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ แต่ช่วงที่เหลืออยู่ของปีนี้ โดยเฉพาะในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 สิ่งที่เราอยากเห็นก็คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ที่จะสร้างความคึกคักให้กับกำลังซื้อ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมา ประชาชนมีความกล้าตัดสินใจจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งถ้าปัจจัยเหล่านี้เอื้ออำนวย ก็จะทำให้เป้าหมายการเติบโตในปีนี้ที่เราตั้งไว้ที่ 10% จากปีที่แล้วมีความเป็นไปได้มากขึ้น” นายบุญชัย  กล่าว

Back to top button