ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ LPN ที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “Stable”

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ …


บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ที่ระดับ “A-” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-” ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ในการดำเนินงาน

โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่ผ่านการพิสูจน์แล้วด้วยแบรนด์สินค้าที่เป็นที่ยอมรับเป็นอย่างดีในตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคาปานกลางถึงต่ำ ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารงานก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ และนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง

นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทมีสินค้าที่ไม่หลากหลายทั้งในแง่ของประเภทและระดับราคา ตลอดจนความกังวลในตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวภายหลังจากการบังคับใช้เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เริ่มบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2562

สำหรับรายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทอยู่ระหว่าง 1.0-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2559-2561 รายได้จากการดำเนินงานรวมลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 4.5 พันล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนโดมิเนียมภายหลังจากการบังคับใช้เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ โดยรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมลดลง 36% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 5.3 พันล้านบาทที่จะส่งมอบในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทในปี 2562 จะอยู่ที่ 9.8 พันล้านบาท และในปี 2563-2564 จะอยู่ที่ 1.2-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี

ณ เดือนมิถุนายน 2562 บริษัทมีโครงการระหว่างการพัฒนาจำนวน 48 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) 1.76 หมื่นล้านบาท และมียอดขายรอการรับรู้รายได้ 7.6 พันล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมคิดเป็น 87% ของมูลค่าเหลือขายและคิดเป็น 85% ของมูลค่ายอดขายรอการรับรู้รายได้ ส่วนที่เหลือเป็นโครงการแนวราบ

โดย อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับ 19%-20% ในช่วงปี 2557-2559 และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 15%-16% ในช่วงปี 2560 ถึง 6 เดือนแรกของปี 2562 อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 14%-16% ในช่วงปี 2557-2559 และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 11%-12% ในช่วงปี 2560 ถึงครึ่งแรกของปี 2562 ถึงแม้ว่าจะลดลง แต่อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทยังคงสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 15% และอัตรากำไรสุทธิยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 10% ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคตอาจได้รับแรงกดดันจากต้นทุนค่าที่ดินที่แพงขึ้นและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานเอาไว้ได้ที่ประมาณ 15% และอัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่า 10% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

สำหรับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทค่อนข้างต่ำกว่าผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รายอื่น ๆ ที่เน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับต่ำกว่า 35% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนต่ำกว่า 0.6 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังคงมีเพียงพอ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 0.4 พันล้านบาท วงเงินกู้โครงการที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกจำนวน 2.2 พันล้านบาท วงเงินกู้โครงการที่ยังไม่ได้เบิกใช้แต่ติดเงื่อนไขในการเบิกจำนวน 2.2 พันล้านบาท และวงเงินกู้ยืมระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 2.3 พันล้านบาท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 3.3 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นจำนวน 3.1 พันล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 0.2 พันล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่าการเงินจำนวน 7 ล้านบาท

โดยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงผลการดำเนินงานเอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยที่บริษัทน่าจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ได้ตามแผน แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงขึ้นและความต้องการในตลาดคอนโดมิเนียมจะชะลอตัวลง ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ที่ 9.8 พันล้านบาทในปี 2562 และ 1.2-1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2563-2564 ในขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 15% การที่บริษัทจะมีการขยายธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้าทำให้คาดว่าหนี้สินทางการเงินของบริษัทอาจจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเอาไว้ได้ที่ระดับประมาณ 40%-45% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ระดับ 12%-15%

 

Back to top button