เน้นทำรอบ

*ข้อมูลการลงทุนชุดหนึ่งที่ทุกคนรับรู้กันเป็นอย่างดีก็คือ นักลงทุนสถาบันเป็นตัวการที่ทำให้ดัชนี “ขึ้นแรง ลงแรง” โดยอาศัยตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นตัวชี้นำ ว่าวันนี้ควรขาย หรือวันนี้ควรซื้อ ส่งผลให้ภาพการเคลื่อนตัวของดัชนีนับตั้งแต่ต้นปีผันผวนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เดี๊ยนยังคงยืนกรานให้แมงเม่าปีกแข็งเทน้ำหนักไปที่เรื่อง “เน้นทำรอบ” พร้อมกับพยายามท่องให้ขึ้นใจว่า “กำไรน้อย ๆ แต่นาน ๆ” นะจ๊ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*ข้อมูลการลงทุนชุดหนึ่งที่ทุกคนรับรู้กันเป็นอย่างดีก็คือ นักลงทุนสถาบันเป็นตัวการที่ทำให้ดัชนี “ขึ้นแรง ลงแรง” โดยอาศัยตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นตัวชี้นำ ว่าวันนี้ควรขาย หรือวันนี้ควรซื้อ ส่งผลให้ภาพการเคลื่อนตัวของดัชนีนับตั้งแต่ต้นปีผันผวนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เดี๊ยนยังคงยืนกรานให้แมงเม่าปีกแข็งเทน้ำหนักไปที่เรื่อง “เน้นทำรอบ” พร้อมกับพยายามท่องให้ขึ้นใจว่า “กำไรน้อย ๆ แต่นาน ๆ” นะจ๊ะ

*เนื่องจากข้อมูลที่ปรากฏให้เห็นมันฟ้องว่า หากออกของไม่ทันนักลงทุนสถาบัน คงต้องรออีกหลายวันเลยทีเดียว “โมนิก้า” ถึงถามว่า เมื่อวันศุกร์ดัชนีทะยานขึ้นไปถึง 1,637.36 จุด สุดท้ายอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1,631.43 จุด ลบไป 1.37 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.53 หมื่นล้านบาท มันคือเกมหุ้นของพวกนักลงทุนสถาบันใช่ไหม? หากคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็ควรกำหนดกรอบทำกำไรในแต่ละวันให้แคบลงนะคะ

*งานนี้เดี๊ยนไม่ได้มีเจตนาปรักปรำ หรือให้ร้ายนักลงทุนสถาบัน เพราะข้อมูลทั้งหมดที่หยิบยกมาบรรยายให้ฟังในคราวนี้ ยังเป็นการฉายมุกเดิม ๆ ที่ถูกนำมาเล่นหลายครั้ง ซึ่งบางวันก็มีคำอธิบายออกมาพร้อมกันว่า ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว จึงไล่ซื้อหุ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย พอคล้อยหลังแค่วันเดียว ก็มีคำอธิบายออกมาใหม่ว่า รู้สึกกังวลกับเรื่องนั้น เรื่องนี้..สุดท้ายเลยไม่รู้ว่า มั่นใจ หรือ ไม่มั่นใจ เจ้าค่ะ

*เหมือนกับในรายของ SCC เด้งขึ้นสวนตลาดราวกับมีของดีเก็บไว้ในตัว “โมนิก้า” ถือเป็นแค่กิมมิกที่นักเล่นต้องอ่านจังหวะให้ขาด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้ ยังไม่ใช่จุดเปลี่ยนที่สำคัญของหุ้น แถมตัวแปรหลายอย่างยังส่อไปในทางลบ และการที่หุ้นขึ้นมายืนอยู่ที่ 369 บาท บวกไป 3 บาท หรือขึ้นไป 0.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 907 ล้านบาท ย่อมตีความได้ว่า รีบาวด์! หากจะกลับทิศจริง ๆ วันนี้ต้องมีแรงซื้ออัดเข้ามาอีกนะคะ

*สถานการณ์ดังกล่าวคล้ายคลึงกับ KTC คุ้มกับการเสี่ยงจริงไหม? หลังราคาหุ้นลงมาทำ low ที่ระดับ 39 บาทอีกครั้ง ซึ่งล่าสุดดูเหมือนจะได้คำตอบอย่างเป็นทางการว่า น่าเสี่ยงดูสักตั้งเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับกลับคืน เนื่องจากหุ้นสามารถประคองตัวปิดที่ 40.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.15 พันล้านบาท ซึ่งเป็นจุดตัดเส้นแนวรับ 200 วันพาดผ่านพอดี วันนี้ถึงต้องติดตามดูกันต่อไปเจ้าค่ะ

*ส่วนในรายของหุ้นโรงไฟฟ้า RATCH อาศัยผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก หุ้นถึงทะยานขึ้นมาปิดที่ 76.50 บาท บวกไป 0.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.28 พันล้านบาทแบบสบาย ๆ ถึงกระนั้นถ้ามองให้ลึกซึ้งกว่าเดิมจะเห็นว่า หุ้นตัวนี้มีดีอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว “โมนิก้า” ไม่จำเป็นต้องไปโปรโมตอะไรให้มากความ เพราะแค่รายงานตามเนื้อผ้าที่เกิดขึ้น เพียงเท่านี้หุ้นก็แรลลี่ยาวแล้วล่ะค่ะ

*อีกหนึ่งช็อตที่ควรค่าแก่การติดตาม “โมนิก้า” ขอแนะนำทีเด็ดอย่าง OSP เป็นตัวเลือกอันดับแรก เหตุผลไม่มีอะไรมากมาย ก็แค่หุ้นที่ทำกำไรได้คงเส้นคงวา แวลูสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ผสานกับเมื่อวันศุกร์หุ้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 42.25 บาท บวกไป 2 บาท หรือขึ้นไป 5% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.09 พันล้านบาท พร้อมกับทำ all time high ชิว ๆ แบบนี้ หุ้นน่าจะเดินหน้าได้ต่อใช่ไหมคะ

*ส่วนในรายของ JWD หากมองแบบไม่คิดอะไรมากมาย ต้องยอมรับว่าประเด็นที่เป็นชนวนเหตุให้หุ้นทะยานขึ้นต่อเนื่อง ก็คงมาจากเรื่องเก็งผลงานไตรมาส 3 จะออกมาดีนั้น “โมนิก้า” คงต้องถามผู้เล่นทั่วสารทิศว่า คิดอย่างไรกับหุ้นตัวนี้ หลังหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 10 บาท บวกไป 0.45 บาท หรือขึ้นไป 4.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 122 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดแรกที่หุ้นเคยขึ้นมาแล้วทิ้งตัวลงทันทีไงล่ะคะ

*ในเมื่อนักลงทุนวิ่งเข้าใส่อย่างไม่ลืมหูลืมตา BEAUTY จึงกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายพวกนักเล่นสายเดย์เทรด เมื่อวันศุกร์ถึงเห็นหุ้นวิ่งขึ้นไปถึงระดับ 2.16 บาท ก่อนจะม้วนตัวลงมาปิดที่ 2.12 บาท บวกไป 0.08 บาท หรือขึ้นไป 4% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 224 ล้านบาท โดยหุ้นยังอยู่ในทิศทางขาลงเหมือนเดิมแบบนี้ “โมนิก้า” ถือเป็นไทม์มิ่งที่นักเล่นเข้ามาตะลุมบอนได้อีกหลายรอบนะจะบอกให้

*ส่วนรายที่อาจมีปัญหา “โมนิก้า” ขอพุ่งเป้าไปยัง SPALI หากดูตามท้องเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะเห็นว่า กำไรไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ กำลังซื้อก็หดหายไปมาก ขณะที่ค่า P/E ก็ลดลงมาเยอะแยะ จนเหลือแค่ระดับ 6.30 เท่า แต่หุ้นกลับลงไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อย! จนล่าสุดปิดที่ 17.10 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 2.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 193 ล้านบาท คือราคาต่ำสุดในรอบ 3 ปี 7 เดือน ยิ่งทำให้สถานการณ์ของหุ้นดูย่ำแย่ลงไปอีกนะคะ

Back to top button