SIRI ลุยเปิด 18 โครงการ 2.4 หมื่นลบ. มั่นใจดันยอดขายแตะ 2.9 หมื่นลบ.

SIRI ลุยเปิด 18 โครงการ 2.4 หมื่นลบ. มั่นใจดันยอดขายแตะ 2.9 หมื่นลบ.


นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าในปี 63 จะสามารถสร้างยอดขาย 2.9 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 40% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.1 หมื่นล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งปีนี้จะรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ราว 2.4 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 4.75 หมื่นล้านบาทรองรับการเติบโตระยะยาวช่วง 4 ปีนี้

โดยบริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 18 โครงการในปีนี้ มูลค่ารวม 2.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 8.8 พันล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8.6 พันล้านบาท และทาวน์โฮม และมิกซ์ โปรเจ็คต์ 6 โครงการ มูลค่ารวม 6.6 พันล้านบาท ซึ่งอยู่ในเซกเมนต์ Medium และ Affordable เป็นหลัก เพื่อให้แสนสิริเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่ายในกลยุทธ์ด้านการวางราคาขาย

ขณะเดียวกันยังขยายฐานลูกค้า Luxury และ Super Luxury ด้วยคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ภายใต้ Sansiri Luxury Collection อาทิ 98 ไวร์เลส, เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คุณ บาย ยู และบ้านแสนสิริ

ด้านการลงทุนในธุรกิจระดับโลกของบริษัทได้ประสบความสำเร็จและมีมูลค่าการเติบโตเพิ่มขึ้น เช่น มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของแบรนด์ The Standard โรงแรมจากสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนธุรกิจโรงแรมทั่วโลกที่แสนสิริเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หลังจากประกาศแผนเปิดโรงแรมแห่งใหม่ 25 แห่งทั่วโลกภายใน 5 ปี และเปิดตัว The Standard London และ The Standard Maldives เมื่อปีที่ผ่านมา รวมทั้ง JustCo Co-Working Space ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 150% ในแต่ละปี และปัจจุบันมี 42 สาขา ใน 8 เมืองใหญ่ทั่วโลก

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจในการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ได้แก่ แผนการนำ LIV-24 ดูแลความปลอดภัยส่งตรงจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาตรฐานแสนสิริ ขยายการให้บริการสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีแผนต่อยอด และขยายขอบเขตการบริการของ Home Service Application หลังประสบความสำเร็จจากประสบการณ์ให้บริการในลูกบ้านแสนสิริกว่า 40,000 ราย ใน 300 โครงการสู่โครงการอื่นๆ ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารทั่วประเทศโดยวางแผนเปิดตัวในช่วงปลายปี 63

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตในโรงงานพรีคาสต์ (Precast) เพื่อรองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยจะเปิดตัวโรงงานพรีคาสต์แห่งที่ 3 และ 4 ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตจากโรงงานที่ 1 และ 2 จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 700,000 ตารางเมตร/ปี เพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 ตารางเมตร เมื่อเต็มกำลังการผลิต รองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยจาก 2,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ยูนิต ได้ในอนาคต

นายวันจักร์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปี 63 ไว้ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท แบ่งไว้ใช้สำหรับการซื้อที่ดิน 3 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้รองรับการก่อสร้างโครงการและการลงทุนอื่น ๆ ขณะเดียวกันปีนี้ยังพิจารณาเพิ่มวงเงินในการออกหุ้นกู้จาก 4 หมื่นล้านบาท เป็น 5 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการซื้อที่ดิน พัฒนาโครงการ และการลงทุนอื่น ๆ

โดยล่าสุดบริษัทได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ววงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาท อายุ 3 ปี 8 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.75% ต่อปี ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดีและมียอดจองซื้อทั้งหมด ซึ่งบริษัทได้รับเงินเข้ามาแล้ว ซึ่งบริษัทก็มีแผนจะออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกในช่วงครึ่งหลังปีนี้

ด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับลูกค้าชาวต่างชาติ มองว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กระทบกับภาพรวมของเศรษฐกิจโลก และการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของลูกค้าชาวต่างชาติ ทำให้บริษัทปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขายโดยหันมาเน้นกลุ่มลูกค้าในประเทศแทน โดยจะปรับการเปิดโครงการในปีนี้จับกลุ่มลูกค้าในประเทศมากขึ้นในระดับราคาขายเริ่มต้น 1.69-5 ล้านบาท ทำให้คาดว่ายอดขายจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติในปีนี้จะทำได้ในระดับใกล้เคียงปีก่อนที่เกือบ 3 พันล้านบาท

ส่วนการโอนโครงการของกลุ่มลูกค้าจีนในปีนี้ บริษัทได้เตรียมแผนการรองรับไว้ โดยจะพิจารณาลูกค้าในกรณีที่เหมาะสม ซึ่งบริษัทจะช่วยเหลือลูกค้าในการยืดระยะเวลาการโอน และอาจจะพิจารณาให้ส่วนลด 3-10% สำหรับลูกค้าชาวจีนบางรายที่ผ่อนชำระเงินดาวน์ครบ 30% แล้วแต่กรณี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการโอน ซึ่งในปีที่ผ่านมามีสัดส่วนยอดขายสำหรับลูกค้าชาวจีนในสัดส่วน 50% จากยอดขายของลูกค้าชาวต่างชาติทั้งหมด

นอกจากนี้บริษัทยังวางแผนระบายสต็อกออกไปให้เหลือ 6-7 พันล้านบาทในปีนี้ จากสต็อกที่มีอยู่กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยจะจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้น รวมถึงการปรับลดราคาในบางโครงการตามความเหมาะสมด้วย ส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกับกลุ่มบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ในปีนี้จะเปิดเพียง 1 โครงการ ซึ่งการร่วมลงทุนหลังจากนี้ก็จะพิจารณาถึงความพร้อม และช่วงเวลาที่มีความเหมาะสมเป็นหลัก หลังจากได้ผ่านระยะเวลาการร่วมทุนตามแผน 5 ปีแล้ว

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ SIRI กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจด้วยความเข้าใจ Customer Insights และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาตลอดระยะเวลากว่า 36 ปี ทำให้ในปี 63 บริษัทได้เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งด้วยการวางยุทธศาสตร์ “Made for Life…Made for Everyone” เพื่อสร้างภาพแบรนด์ที่จับต้องง่ายขึ้น และเป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” รวมทั้งมุ่งมั่นมอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่มากกว่าภายใต้แนวคิดบ้านที่ได้มากกว่าบ้าน โดยได้กำหนดกลยุทธ์สำคัญที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกเซกเมนต์ ได้แก่ การเดินหน้ามุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย

พร้อมกับการโฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานด์ (Mass Market) ด้วยการพัฒนาโครงการ ภายใต้แบรนด์ ‘ดีคอนโด’ – ‘เดอะเบส’ – ‘สิริ เพลส’ – ‘อณาสิริ’ – ‘สราญสิริ’ รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการไปในย่าน Community ใกล้เมืองในราคาเข้าถึงง่าย เช่น แผนเตรียมเปิดตัว ดีคอนโด รามคำแหง 40 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้มในเดือน พ.ค.63 ตลอดจนจะรุกพัฒนาโครงการไปในทำเลใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยพัฒนาโครงการมาก่อน เช่น การบุกทำเลย่านสุวรรณภูมิด้วยสราญสิริ ศรีวารี และการเข้าไปยังทำเลป่าคลอก ภูเก็ต ของแบรนด์อณาสิริ

ขณะที่ในส่วนคอนโดมิเนียม แสนสิริมีการเตรียมส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ถึง 8 โครงการ ในปีนี้ ได้แก่ ดีคอนโด ริน เชียงใหม่, ดีคอนโด บลิซ ศรีราชา, เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่, เอ็กซ์ที เอกมัย, เอ็กซ์ที ห้วยขวาง, คาวะ เฮาส์ และลา ฮาบาน่า หัวหิน โดยคอนโดมีเนียมที่พร้อมโอนในปีนี้ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า มียอดขายแล้ว 60% จากมูลค่าโครงการรวม 2.4 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ การเป็นผู้นำตลาดแนวราบใน 3 ปี ยังเป็นเป้าหมายที่แสนสิริยึดมั่น โดยมีกลยุทธ์ใหม่ในการสร้างความแข็งแกร่ง ได้แก่ การเตรียมเปิดตัว Signature Function ในแบรนด์บ้านเดี่ยว เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละเซกเมนต์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดีไซน์ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่มาจาก Customer Centric เช่น

การเปิดสราญสิริ ศรีวารี ที่นับว่าเป็นครั้งแรกบ้านเดี่ยวระดับราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาทที่มี Double Volume Living Space และนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่น New Concept เน้นการพัฒนาและสร้างมูลค่าให้กับ Affordable brand ให้แข็งแกร่งเหนือคู่แข่ง โดยเตรียมเปิดตัวแนวคิดใหม่ในการอยู่อาศัยที่สะท้อนการออกแบบที่ครอบคลุมไปทั้งโครงการตั้งแต่ตัวบ้าน พื้นที่ส่วนกลาง ภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกัน ไปจนถึงการสร้างชุมชนที่มีแนวคิดร่วมกันเพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่

บริษัทเตรียมรุกเปิดตัวโครงการใหม่ในแบรนด์ ‘อณาสิริ’ มิกซ์โปรดักส์ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมเอาไว้ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายในโครงการเดียวกันเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังรุกในด้าน WELL-BEING ผ่านดีไซน์ฟังก์ชั่นการใช้งานเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และยังวางแผนมองหา Innovation ที่ยกระดับขึ้นอีกเพื่อต่อยอด และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ “อากาศสะอาด” รวมถึง Elderly Care Solution ตอบรับ Aging Society ผ่านฟังก์ชั่นการใช้งาน โดยพัฒนาแปลนบ้านที่มีห้องนอนล่าง หรือ ห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างในทุกแบบบ้าน พร้อม Universal Design ในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ โดยมีแผนในนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วย “Prevent & Alert” เป็นตัวช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย “Smart & Convenient Home” ต่อยอดความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นจาก Home Automation ด้วยการเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ภายใต้คอนเซปต์ “Convenience at One Click” พร้อมใส่ Solution ที่จำเป็นในการอยู่อาศัย เช่น Master switch ที่ควบคุมไฟทั้งบ้านได้ในสวิตช์เดียว เป็นต้น

Back to top button