ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 455 จุด หลังตัวเลขจ้างงานร่วงน้อยเกินคาด-คลายกังวลเทรดวอร์

ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 455 จุด หลังตัวเลขจ้างงานร่วงน้อยเกินคาด-คลายกังวลเทรดวอร์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ค.) หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย.ร่วงลงน้อยกว่าที่วิตกกัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า ผู้แทนการค้าสหรัฐและจีนได้หารือกันเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเฟสแรก โดยจีนระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะปรับปรุงบรรยากาศเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว

โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,331.32 จุด เพิ่มขึ้น 455.43 จุด หรือ +1.91%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,929.80 จุด เพิ่มขึ้น 48.61 จุด หรือ +1.69% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,121.32 จุด เพิ่มขึ้น 141.66 จุด หรือ +1.58%

ทั้งนี้ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้น แม้มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ซบเซา เนื่องจากนักลงทุนมองว่า ภาวะย่ำแย่ที่สุดที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ขณะที่ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของสหรัฐ และประเทศต่างๆ รวมทั้งการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งพุ่งขึ้นมากกว่า 20% แล้วในสัปดาห์นี้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคลายความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่เจ้าหน้าที่การค้าของทั้งสองประเทศยืนยันจะร่วมมือกันในการส่งเสริมเศรษฐกิจมหภาคเพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเฟสแรก

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรดิ่งลง 20.5 ล้านตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นตัวเลขการจ้างงานที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ตัวเลขการจ้างงานในเดือนเม.ย.ยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจร่วงลงถึง 21.5 ล้านตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสู่ระดับ 14.7% ในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าระดับ 10.8% ซึ่งเป็นอัตราการว่างงานสูงสุดในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ต่ำกว่าระดับ 24.9% ซึ่งเป็นตัวเลขอัตราการว่างงานในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ขณะที่ตัวเลขอัตราการว่างงานสูงสุดในช่วงเกิดวิกฤตการเงินในเดือนต.ค. 2552 อยู่ที่ระดับ 10%

ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่า อัตราการว่างงานจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 16% ในเดือนเม.ย. หลังจากอยู่ที่ระดับ 4.4% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2560 ขณะที่แตะระดับ 3.5% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี

Back to top button