บลจ.วี ส่งกองทุน “WE-EM8M” เข้าเป้า 8% ใน 4 เดือน

บลจ.วี ส่งกองทุน “WE-EM8M” เข้าเป้า 8% ใน 4 เดือน


นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วี  เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีกระแสเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนในกลุ่มศักยภาพการเติบโตที่สูง ส่งผลให้กองทุนเปิด วี อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต 8M (WE-EM8M) กองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นเติบโตสามารถทำผลตอบแทนได้ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ 8% ในระยะเวลาประมาณ 4 เดือน

ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยบวกจากการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นสภาพคล่องและการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั้งโลกเพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ในระยะที่ผ่านมา ยังส่งผลให้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่ บลจ.วี ให้ความสนใจลงทุนโดยบริหารพอร์ตเชิงรุกผ่านกองทุน ETF ในประเทศ/ภูมิภาค/กลุ่มอุตสาหกรรมในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง และได้รับปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมไปถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยพอร์ตกระจายการลงทุนในจีน ฮ่องกงและไต้หวัน ซึ่งที่มีระดับราคาค่อนข้างถูกเมื่อเปรียบเทียบกับอดีต ส่งผลให้ กองทุน WE-EM8M สามารถสร้างผลตอบแทนถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ 8%

ทั้งนี้กองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิด วี มันนี่ มาร์เก็ต ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 ในราคารับซื้อ 10.8786 บาทต่อหน่วย หรือผลตอบแทน 8.78% ซึ่งผู้ถือหน่วยสามารถดำเนินการขายหน่วยลงทุนคืนได้วันที่ 16 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป

โดยกลยุทธ์ของกองทุนในส่วนเชิงรุก (Active portfolio) ได้เน้นจับจังหวะลงทุน (Trading) ในตลาดหุ้นจีนที่มีการเติบโตจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิเช่น กองทุน Global X China Consumer Discretionary ETF  รวมถึงหุ้นกลุ่มน้ำมันของรัสเซียที่แนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ผ่านกองทุน iShares MCSI Russia ETF เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน

“แม้ตลาดหุ้นจะมีปัจจัยกดดันให้เกิดความผันผวน ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การดำเนินนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปลายปีนี้ แต่ด้วยมาตรการอัดฉีดเงินจำนวนมากของธนาคารกลางสหรัฐฯและหลายประเทศ ส่งให้มีสภาพคล่องในระบบที่สูง ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศบางกลุ่มยังน่าสนใจ ซึ่ง บลจ.วี ยังคงแนะนำกระจายลงทุนในหุ้นมากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้”  นายอิศรา กล่าว

Back to top button