PRM กางแผนครึ่งปีหลัง ลุยขยายกองเรือเพิ่ม 2 ลำ มั่นใจหนุนผลงานทั้งปีโต 10-15% ตามเป้า

PRM กางแผนครึ่งปีหลัง ลุยขยายกองเรือเพิ่ม 2 ลำ มั่นใจหนุนผลงานทั้งปีโต 10-15% ตามเป้า


นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินงานครึ่งหลังปีนี้ บริษัทจะเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หลังผลประกอบการไตรมาส 2/63 เติบโตทั้งในแง่ของกำไรและรายได้ ทำสถิติสูงสุดใหม่

โดยครึ่งปีหลังมีแผนการขยายกองเรือในกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูง อย่างน้อย 2 ลำ ได้แก่ เรือต่อใหม่ในกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ จำนวน 1 ลำ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งการรับเรือใหม่ดังกล่าวมีลูกค้ารอใช้บริการเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่กลุ่มธุรกิจ FSU จะเพิ่มอีก 1 ลำ เพื่อรองรับความต้องการใช้บริการที่มีอยู่อีกมาก ทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้จาก 2 กลุ่มธุรกิจหลักได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโต 10-15% ตามเป้าหมาย

ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ที่บริษัท เอ็น.ที.แอล.มารีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ PRM ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกลุ่มธุรกิจร่วมค้าซีเอ็นเอ็นซี ในสัดส่วนประมาณ 10% โดยได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการงานก่อสร้างงานทางทะเล ซึ่งคาดว่าจะเซ็นสัญญากับการท่าเรือเรือแห่งประเทศไทยในเร็ว ๆ นี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจและถือเป็นโอกาสที่ดีของ PRM ในการขยายธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ PRM แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/63 มีรายได้รวม 1,494.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 441.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิ 283.24 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับปัจจัยสนับสุนการเติบโตของผลประกอบการ มาจากลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและกักเก็บปิโตรเลียมกลางทะเล หรือ FSU ทั้ง 8 ลำ ที่มีการปรับราคาให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดและความต้องการที่เพิ่มขึ้น และยังคงมีอัตราการใช้บริการเต็ม 100% ทำให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวสามารถทำรายได้และกำไรสุทธิให้แก่ PRM ได้อย่างก้าวกระโดด

ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ ที่ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งปิโตรเลียมภายในประเทศชะลอตัวลง แต่จากการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตราการใช้เรือให้อยู่ในระดับที่มากกว่า 90% ทำให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวได้รับผลกระทบไม่มากนัก จึงช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ได้เป็นอย่างดี

ธุรกิจของเรายังมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้ต้องเจอกับวิกฤติโควิด-19 แต่เราก็ยังสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ โดยในไตรมาส 2/63 ถือเป็นสถิตินิวไฮอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการที่ดี และทำให้เราทำกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกเติบโตสวนกระแสปัจจัยลบอีกด้วย”นายวิริทธิ์พล กล่าว

 

 

Back to top button