ECL บวก 3% นิวไฮรอบ 10 เดือน ฟากโบรกฯแนะ “ขาย” หลังราคาพุ่งเกินเป้า 0.82 บ.

ECL บวก 3% นิวไฮรอบ 10 เดือน ฟากโบรกฯแนะ "ขาย" หลังราคาพุ่งเกินเป้า 0.82 บ. โดย ณ เวลา 15.26 น. ราคาอยู่ที่ 4.48 บาท บวก 0.14 บาท หรือ 3.23% สูงสุดที่ 5.25 บาท ต่ำสุดที่ 4.38 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 27.06 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ECL ล่าสุด ณ เวลา 15.26 น. อยู่ที่ 4.48 บาท บวก 0.14 บาท หรือ 3.23% สูงสุดที่ 5.25 บาท ต่ำสุดที่ 4.38 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 27.06 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 10 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.17 บาท เมื่อวันที่ 11 ก.พ.63

ด้าน บล.ทรีนีตี้ แนะนำในบทวิเคราะห์ (17 ธ.ค.63) ระบุ แนะนะ “ขาย” ECL ราคาเป้าหมาย 0.82 บาท/หุ้น โดย ECL รายงานกำไรไตรมาส 3/63 ที่ 34 ล้านบาท ฟื้นจากขาดทุน 10 ล้านบาทในำตรมาส 2/63 และดีขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน โดยมีรายละเอียดสำคัญคือ

1.สินเชื่อรวมในไตรมาสนี้ยังหดตัวลงต่อราว 7.5% จากไตรมาสก่อน รวมงวด 9 เดือนหดตัวแล้วราว 16% จากต้นปีถึงช่วงปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ และให้ความสำคัญกับการจัดการคุณภาพหนี้มากกว่า

2.มีการกลับสำรองหนี้ (ECL) ราว 2 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 2/63 ที่มีค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ 65 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากไตรมาส 2/63 ที่มีการปรับ ECL Model ให้สะท้อนคุณภาพหนี้ในอนาคตไปแล้ว ขณะที่แนวโน้มคุณภาพหนี้ในไตรมาส 3/63 เริ่มดีขึ้น (สินเชื่อ Stage 2 และ Stage 3 เริ่มลดลง เทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ปี 2563 ที่เร่งตัวขึ้น) ทำให้ความจำเป็นในการตั้งสำรองหนี้ ต่ำลง

3.ขาดทุนรถยึดอยู่ที่ 50 ล้านบาท อยู่ในระดับสูงเนื่องจากบริษัทยังให้ความสำคัญกับการจัดการคุณภาพหนี้และการเจรจายึดหรือขอคืนหลักประกันมาขายทอดตลาด แต่ลดลง 11% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาส 2/63 มีการเร่งยึดรถมาขายทอดตลาดมากเป็นพิเศษ

สำหรับกำไรงวด 9 เดือน ปี 2563 อยู่ที่ 35 ล้านบาท คิดเป็นราว 95% ของประมาณการกำไรปี 2563 เดิม จึงนำไปสู่การปรับประมาณการกำไรปี 2563-64 ขึ้นราว 50% และ 20% จากประมาณการเดิมมาอยู่ที่ 56 ล้านบาท (ลดลง 57% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) และ 108 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 94% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) ตามลำดับ โดยปรับสมมติฐานค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ หรือ Credit Cost จากเดิมที่ 300 bps และ 275 bps เหลือ 230 bps และ 215 bps ตามลำดับ เพื่อสะท้อนการกลับสำรองหนี้ในไตรมาส 3/63 และแนวโน้มสำรองหนี้รวมทั้งปี 2563 ที่ลดลง

อย่างไรก็ตามคาดในไตรมาส 4/63 อาจไม่มีการกลับสำรองเช่นในไตรมาส 3/63 เนื่องจากลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือพักชำระหนี้ค่างวด (ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย) เป็นระยะเวลา 3 เดือน บางส่วนเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค. 63 จะหมดมาตรการในเดือน ก.ย. 63 ซึ่งอาจส่งผลให้ลูกหนี้ค้างชำระและค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ในไตรมาส 4/63 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

อย่างไรก็ดี จากการปรับประมาณการ จึงประเมินราคาเป้าหมายใหม่ปี 2564 ที่ 0.82 บาท อิง Justified PBV 0.45 เท่า (อิงสมมติฐาน ROE ที่ 6.5%, Ke 10.7% และ G 3%) จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 0.77 บาท อิง Justified PBV 0.43 เท่า อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากสะท้อนผลประกอบการในไตรมาส 3/63 ไปแล้ว ทำให้ไม่เหลือ Upside จากราคาเป้าหมายใหม่ จึงปรับคำแนะนำเป็น ขาย

Back to top button