“ฟินันเซีย” เชียร์ซื้อ ORI ชู “ท็อปพิค” กำไรไตรมาส 4/63 พีค เคาะเป้า 9 บ.

“ฟินันเซีย” เชียร์ซื้อ ORI ชู “ท็อปพิค” กำไรไตรมาส 4/63 พีค เคาะเป้า 9 บ.


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุ ในบทวิเคราะห์ ประเมินหุ้นบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI โดยมองยอดขายปี 2563 ทะลุเป้าจบที่ 2.6 หมื่นล้านบาท (ลดลง 12% จากปีก่อน)

ขณะที่ปี 2564 คาดกลับมาโต 10% จากปี 63 จากแผนรุกเปิดโครงการใหม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อน) แม้การแพร่ระบาด COVID-19 ส่งผลต่อ Sentiment การขาย แต่คาดกดดันแค่ในช่วงไตรมาส 1/64

ส่วนธุรกิจโรงแรม รายได้คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% จึงไม่กระทบอย่างมีนัยต่อภาพรวม

ด้านแนวโน้มกำไตรมาส 4/63 คาดเร่งขึ้นทำระดับสูงสุดของปี หนุนจากแผนโอนคอนโดใหม่ 5 โครงการ โดยคงประมาณการกำไรปกติปี 2563 ที่ 2.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน แข็งแกร่งกว่ากลุ่มฯที่ -22% จากปีก่อน และปี 2564 คาดโตต่อเนื่อง 11% จากปีก่อนบน Backlog รองรับยอดโอนแล้ว 64% สูงสุดในกลุ่มฯ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ราคาหุ้นเทรดบน PE 2564 เพียง 6.4 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 9.5 เท่า จึงยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 9 บาท

ด้านยอดขายทั้งปี 2563 จบที่ 2.56 หมื่นล้านบาท (-12% จากปีก่อน) สูงกว่าเป้าของบริษัทที่ 2.15 หมื่นล้านบาทถึง 19% เป็นคอนโด : แนวราบที่ 76 : 24 โดยยอดขายของสต็อกพร้อมโอนคิดเป็นสัดส่วน 35% จากความสำเร็จของการเร่งระบายสต็อก และกลยุทธ์ Everyone can sell ส่วนที่เหลืออีก 65% เป็นโครงการใหม่ หนุนจากการเปิดตัวจำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวม 1.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นคอนโด 53% และแนวราบ 47% ซึ่งได้รับผลตอบรับดีกว่าคาด

สำหรับภาพรวมปี 2564 ผู้บริหารมีมุมมองตลาดอสังหาฯฟื้นตัวจากปี 2563 แม้มีสถานการณ์ COVID-19 รอบใหม่ แต่คาดกดดันแค่ในช่วงไตรมาส 1/64 ขณะที่การแข่งขันราคาจะผ่อนคลายหลังระบายสต็อกไปมากในปีก่อน ซึ่งจะเป็นแรงหนุนอัตรากำไรขั้นต้น เบื้องต้น บริษัทตั้งเป้ายอดขายเร่งขึ้น 10% จากปีก่อน บนมุมมอง Conservative หนุนจากจากแผนเปิดโครงการใหม่รวม 2 หมื่นล้านบาท

แบ่งเป็นคอนโด 50% และแนวราบ 50% หลักๆ เป็นระดับ Mid-to-High End ซึ่งได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ไม่มาก ขณะที่ธุรกิจโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว 2 แห่ง ถูกบรรเทาผลกระทบด้วยสัญญาในมือของลูกค้าที่มีถึง 50% ของจำนวนห้องทั้งหมด รวมถึงรายได้จากธุรกิจโรงแรมคิดเป็นเพียงราว 1% ของรายได้รวม จึงคาดไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อภาพรวมของ ORI

อย่างไรก็ดี ประเมินกำไรไตรมาส 4/63 เร่งขึ้นทำระดับสูงสุดของปี จากแผนโอนกรรมสิทธิ์คอนโดใหม่ถึง 5 โครงการ ซึ่งทำยอดขายดี ทำให้ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2563 ที่ 2.8 พันล้านบาท (+4% จากปีก่อน)

ส่วนปี 2564 คาดขยายตัวดีต่อเนื่อง 11% จากปีก่อน เป็น 3.1 พันล้านบาท หนุนจากแผนโอนคอนโดใหม่รวม 8 โครงการ แบ่งเป็น ORI 6 แห่ง และ JV อีก 2 แห่ง โดยไฮไลท์คือโครงการใหญ่ Park Origin Thonglor (JV) มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท และ Park Origin Phayathai มูลค่า 4.6 พันล้านบาท ซึ่งมียอดขายสูง 74-75%

รวมถึงคาดรับรู้รายได้จากแนวราบมากขึ้นตามการเปิดโครงการใหม่ ขณะที่ Backlog (รวม JV) ณ สิ้นไตรมาส 3/63 แข็งแกร่ง 3.8 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้ถึงปี 2567 รองรับคาดการณ์ยอดโอนปีนี้แล้ว 64% จำกัด Downside Risk ของประมาณการ

ดังนั้นจึงมีความน่าสนใจในฐานะเป็น 1 ใน 4 บริษัทของกลุ่มอสังหาฯที่ทำกำไรไตรมาส 4/63 โดดเด่น ขณะที่กำไรปกติปี 2563 เติบโตได้ 4% จากปีก่อน สวนทาง COVID-19 และกลุ่มอสังหาฯที่ลดลง 22% จากปีก่อน และคาดขยายตัวต่อเนื่องในปี 2564 เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน บน Backlog แข็งแกร่งรองรับยอดโอนแล้วมากสุดเป็นอันดับ 1 และมีฐานะการเงินดี ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ไม่สอดคล้องราคาหุ้นที่ซื้อขายบน PE 2564 เพียง 6.4 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯที่ 9.5 เท่า

พร้อมคาดปันผล Yield 6-7% ต่อปี ยังแนะนำซื้อ และเลือกเป็น Top Pick ราคาเหมาะสม 9 บาท (อิง PER 7.3 เท่า) อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ต้องติดตามคือผลกระทบ COVID-19 รอบใหม่ต่อยอดขาย

Back to top button