ก๊วน “เจมาร์ท” ราคาขึ้นยกแผง “เก็งข่าวดี” หวังงบฯปี 63 โตเด่น

ก๊วน “เจมาร์ท” JMART, SINGER, JMT, J ราคาหุ้นขึ้นยกแผงวานนี้ เก็งข่าวดีหนุน หวังงบฯปี 63 โตเด่น! หลังฟาดกำไรงวด 9 เดือนแจ่ม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2564 ทางกลุ่มเจมาร์ทราคาหุ้นบนกระดานปรับตัวขึ้นทั่วหน้า นำโดยหุ้นแม่อย่าง บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นปิดที่ระดับ 23.60 บาท บวกไป 1.00 บาท หรือขึ้นไป 4.42% มูลค่าการซื้อขาย 3,220.64 ล้านบาท

ตามด้วยลูกอย่าง บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นปิดที่ระดับ 31.00 บาท บวกไป 3.75 บาท หรือขึ้นไป 13.76% มูลค่าการซื้อขาย 855.05 ล้านบาท,

ถัดมา บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นปิดที่ระดับ 39.00 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 4% มูลค่าการซื้อขาย 586. 44 ล้านบาท และ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นปิดที่ระดับ 2.06 บาท บวกไป 0.24 บาท หรือขึ้นไป 13.19% มูลค่าการซื้อขาย 105.65 ล้านบาท

เนื่องด้วยราคาหุ้น JMART, SINGER, JMT, J ปรับตัวขึ้น ซึ่งคาดว่าเป็นการเข้ามาเก็งกำไรจากปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเด็นข่าวบวกเข้ามาสนับสนุน รวมถึงจากผลประเมินว่าผลการดำเนินงานปี 2563 จะออกมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างน่าประทับใจ

ในส่วนของ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ล่าสุดเข้าร่วมลงทุนในบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด กับ KB Kookmin Card ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วเมื่อวันที่ 29 ม.ค.64 ที่ผ่านมา หลังจากนี้จะได้เห็นต้นทุนการเงินของ เจ ฟินเทค  จากการ Refinance หนี้ราว 3 พันล้านบาท ให้ดอกเบี้ยต่ำลง 1-2% เพราะใช้ศักยภาพของ KB การเปิดมิติใหม่ของการให้บริการทางการเงินอย่างเต็มรูปแบบของกลุ่ม JMART เช่น E-lending, Credit card เป็นต้น ซึ่งการปิดดีลร่วมทุนได้ จะหนุนการเติบโตของกำไรทุกบริษัทฯภายใต้กลุ่ม JMART

ประกอบกับนักลงทุนยังคงมั่นใจว่าผลการดำเนินช่วงไตรมาส 4/2563 และงบฯปี 2563 จะออกมาโดดเด่น ด้วยแนวโน้มที่เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทในกลุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจค้าปลีก ทั้งโทรศัพท์มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รวมทั้งสินค้าเทคโนโลยีที่เปิดตัวออกมาในช่วงปลายปี ซึ่งมีแรงบวกเพิ่มอีกจาก นโยบาย

ช้อปดีมีคืน ของรัฐบาล

อีกทั้ง ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่า มีการบริหารโครงการที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจการเงิน ด้านสินเชื่อยังโตตามแผน ส่วนธุรกิจบริหารหนี้มีแนวโน้มซื้อหนี้เข้ามาบริหารสูงสุดในช่วงปลายปี และการจัดเก็บที่เพิ่มขึ้น

สอดคล้องไปตามผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 261.31 ล้านบาท หรือ 0.29 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 124.59 ล้านบาท หรือ 0.14 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกปี 2563 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 527.79 ล้านบาท หรือ 0.58 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 379.91 ล้านบาท หรือ 0.42 บาทต่อหุ้น

ตามด้วย บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER มีการเชื่อว่าผลการดำเนินงานในอนาคตจะขยายตัวต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง หนุนโดย 1) การขยายสินเชื่อเข้าสู่ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่มีโอกาสในการขยายตัวที่สูง และความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการรถ Fleet เพื่อใช้ในการดำเนินงานที่สูง

รวมถึงจากสินเชื่อ C4C ที่มีโอกาสในการขยายตัวที่สูงต่อเนื่องอีกหลายปี เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อในอุตสาหกรรมที่ต่ำมาก (ประมาณ 0.2% อิงสินเชื่อ C4C ในช่วงไตรมาส 3/2563 ที่ 2.7 พันล้านบาท) และมีเครือข่ายในการปล่อยสินเชื่อที่สูงผ่านสาขาที่มากกว่า 180 แห่ง รวมทั้งความสามารถในการรักษาระดับ NPLs ให้อยู่ในระดับที่ต่ำ

พร้อมด้วยการประเมินจากนักวิเคราะห์ บล.เคทีบีเอสที ว่าในช่วงไตรมาส 4/2563 สามารถมีกำไรสุทธิ 119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 186% จากงวดเดียวกันของปีก่อน รวมถึงประเมินกำไรสุทธิในปี 2563 อยู่ที่ 438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

สอดคล้องไปตามผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 117.30 ล้านบาท หรือ 0.29 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 31.75 ล้านบาท หรือ 0.08 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกปี 2563 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 319.21 ล้านบาท หรือ 0.79 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 124.30 ล้านบาท หรือ 0.36 บาทต่อหุ้น

เหมือนกับ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT มีการประเมินว่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมามีโอกาสในการซื้อหนี้ที่เพิ่มขึ้นอีก พร้อมกับทำให้คาดว่ากระแสเงินสดและกำไรในไตรมาส 4/2563 จะยังดีต่อเนื่อง และมีโอกาสที่ในปี 2564 ยอดจัดเก็บจะทะลุ 1 พันล้านบาทต่อไตรมาสได้

พร้อมด้วยการประเมินจากนักวิเคราะห์ บล. ทรีนีตี้ ปรับประมาณการกำไรปี 2563 อยู่ที่ 996 ล้านบาท เพิ่มขึ้น46% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

สอดคล้องไปตามผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 283.17 ล้านบาท หรือ 0.32 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 189.63 ล้านบาท หรือ 0.21 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกปี 2563 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 716.92 ล้านบาท หรือ 0.81 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 482.62 ล้านบาท หรือ 0.54 บาทต่อหุ้น

เช่นเดียวกับ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ล่าสุดมีการประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2564 คาดว่ากำไรจะยังทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากปี 2563 โดยมีปัจจัยมาจากรายได้ค่าเช่าของโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ที่เปิดให้บริการอยู่ 4 แห่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมีรายได้จากโครงการใหม่ คือ JAS GREEN VILLAGE คู้บอนที่จะมีรายได้เข้ามาเสริมเข้ามาตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป

นอกจากนั้น ยังมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่เหลือขายอีก 25% เข้ามาในปีหน้า ซึ่งบริษัทตั้งเป้าปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงต้นปี 2564 และจะเริ่มมีรายได้จากการเปิดให้บริการศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบรายวันในคอมมูนิตี้มอลล์ของบริษัทเข้ามาหนุนผลงานเพิ่มเติม

สำหรับในปี 2564 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2563 ที่คาดจะเติบโตเด่นหลังจากผลการดำเนินนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ,ไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง

สะท้อนให้เห็นชัดจากผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 26.32 ล้านบาท หรือ 0.03 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 16.40 ล้านบาท หรือ 0.02 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกปี 2563 มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 47.66 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 33.89 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น

Back to top button