SELIC พุ่งกระฉูด 11% “ออลไทม์ไฮ” รับงบ Q1 กำไรทะลัก-ลุ้นปีนี้โตเด่นต่อเนื่อง

SELIC พุ่งกระฉูด 11% “ออลไทม์ไฮ” รับงบ Q1 กำไรทะลัก-ลุ้นปีนี้โตเด่นต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ณ เวลา 15.41 น. อยู่ที่ระดับ 3.20 บาท บวก 0.32 บาท หรือ 11.11%  ราคาหุ้นสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2559

โดย นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SELIC เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 30.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 33.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยถือเป็นการทำกำไรรายไตรมาสได้สูงสุดในการดำเนินการของบริษัท และเป็นการเติบโตภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 สะท้อนว่าบริษัทฯ มีการปรับตัวทันกับสถานการณ์ สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้

อีกทั้งในไตรมาสนี้บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 361.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 9.7% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน สาเหตุหลักที่สนับสนุนให้รายได้เติบโตมาจากการดำเนินการธุรกิจสองประเภท คือ 1. รายได้จากธุรกิจกาวอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 124.6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 83.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

และ 2. รายได้จากธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัวเพิ่มขึ้น 14.8% จากไตรมาสก่อน และ 10.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในไตรมาสนี้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจกาวอุตสาหกรรมสัดส่วน 44% และรายได้จากธุรกิจสติ๊กเกอร์ 56%

ขณะที่ก่อนหน้านี้นางสาวยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรสุทธิปี 2564 จะสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยเป็นผลมาจากการที่บริษัทเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งสินค้ากลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นตามความต้องการบริโภค ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต

ขณะเดียวกันจะยังคงรักษายอดขายในกลุ่มอื่นๆให้คงอยู่ในระดับปัจจุบันหรือเพิ่มขึ้น เนื่องจากในหลายอุตสาหกรรมยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ถึงแม้ว่าในประเทศไทยจะมีสถานการณ์ที่คลี่คลายไปมากแล้ว แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของไทยยังได้รับผลกระทบจากการที่ไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาตเข้ามาได้ จึงยังเป็นแรงกดดันต่อกำลังซื้อภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยืนยันว่าจะรักษาอัตรากำไรสุทธิปีนี้ไว้ไม่ต่ำกว่า 7.09% หลังจากที่ 9 เดือนแรกของปี 63 สามารถทำได้ในระดับดังกล่าวแล้ว โดยบริษัทยังคงจะเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการที่จะใช้ระบบการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า(Customer Relationship Management) เข้ามาช่วยเหลือในการจำหน่ายสินค้าด้วย

Back to top button