หุ้นสื่อสารพลวัต2015

เมื่อวานนี้ แรงขายในหุ้นสื่อสารเป็นต้นเหตุสำคัญในการดำดิ่งของตลาดหุ้น ฉุดดัชนีภาคบ่ายไปเกือบ 10 จุด มีคำอธิบายง่ายๆ คือ มีแรงแนะนำของนักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักให้ขายหุ้นกลุ่มนี้ หันไปหาหุ้นกลุ่มอื่น


เมื่อวานนี้ แรงขายในหุ้นสื่อสารเป็นต้นเหตุสำคัญในการดำดิ่งของตลาดหุ้น ฉุดดัชนีภาคบ่ายไปเกือบ 10 จุด มีคำอธิบายง่ายๆ คือ มีแรงแนะนำของนักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักให้ขายหุ้นกลุ่มนี้ หันไปหาหุ้นกลุ่มอื่น 

ไม่เพียงเท่านั้น ที่ดูจะมีน้ำหนักช่วยทำให้แรงขายเพิ่มมากขึ้นคือ บริษัทจัดอันดับเครดิตอย่าง ฟิทช์ เรทติ้งส์ ก็ออกมาคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมของไทยจะยังคงเผชิญแรงกดดันในปี 2559 อันเนื่องมาจากการแข่งขันที่รุนแรง การขยายตัวของรายได้ที่อ่อนแรงลง การลงทุนที่มีมูลค่าสูงสำหรับการประมูลคลื่นความถี่ใหม่ และการขยายเครือข่าย

พูดง่ายๆ คือ มุมมองของบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมที่เป็นโอกาสสำหรับอนาคต กลายเป็นอุปสรรคสำหรับนักวิเคราะห์ทางการเงินในยามนี้ไป

ทำไมมุมมองจึงแตกต่างกันเช่นนี้

หลายคนอาจจะบอกว่า นี่คือ “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมอง เห็นโคลนตม อีกคนเห็นฟ้า ดาราพราย…” ก็กำปั้นทุบดินมากเกินไปสักนิด

เทคโนโลยี 4G ที่มีความสามารถในการปฏิวัติการโทรคมนาคม ที่ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 1 Gbps จากต้นทาง และ 100 Mbpsที่ปลายทางทุกหนแห่งภายในเครือข่าย ซึ่งรวดเร็วประมาณ 5-10 เท่าของปัจจุบัน ด้วยปริมาณข้อมูลที่เทียบได้กับแผ่นดีวีดีที่บรรจุเพลงได้ 100 เพลงด้วยเวลาเพียงแค่ 2.4 วินาที  พร้อมกับความสามารถในการรับเข้า/ส่งออก (MIMO)ที่ถูกแบ่งออกเป็นหลายช่องทาง และด้วยความถี่ที่ต่างกันพร้อมกันได้ จะมีส่วนเพิ่มศักยภาพในการทำงานของมนุษย์ที่ใช้ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ถูกมุมมองของนักวิเคราะห์บล.ลดทอนลงมาเหลือเพียงแค่งบการเงิน แทนที่จะมองเห็นการขยายโอกาสทางการตลาด

ลองคิดดูก็แล้วกันว่า หากเทคโนโลยี 4G ช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถวัดระดับน้ำตาลในเลือดของพวกเขาด้วยโทรศัพท์มือถือของพวกเขาและส่งข้อมูลไปยังแพทย์ของพวกเขาที่จะได้รับใบสั่งยา และผู้ใช้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายในการเดินทางธุรกิจในต่างประเทศโดยเพียงแค่เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือของตนไปยังคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่เชื่อมต่อเครือข่ายทั่วโลก จะทำให้เดิมพันทางธุรกิจขยายตัวมากน้อยแค่ไหน ถูกย่อยมาเหลือเพียงแค่ว่ากำไรขาดทุนของธุรกิจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง เป็นเรื่องน่าหัวร่อ

คำแนะนำให้ขายทิ้งหุ้นสื่อสารของนักวิเคราะห์ไทยนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นส่วนตัว แต่เกิดขึ้นเป็นกระแสเดียวกันไปหมด เพราะนักวิเคราะห์มีมุมมองว่า ราคาประมูลที่สูงเกินไป จะทำให้ความสามารถทำกำไรต่ำลงของผู้ประกอบการ กระทบต่อราคาหุ้น มุมมองดังกล่าว มีสมมติฐานว่าตลาดโทรคมนาคมจะแคบๆ เท่าเดิม และมีการลงทุนมหาศาลมากกว่าเดิม

ราคาหุ้นสื่อสารที่ร่วงลงมาแรงนี้ ด้านหนึ่งเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้ซื้อหามาในราคาต่ำลง แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้ผู้ที่ถือหุ้นพากันงงงวยว่า นักวิเคราะห์หุ้นต้องการอะไรจากการแนะนำให้ขายหุ้นทิ้ง

ในขณะที่ในมุมตรงกันข้าม นักวิเคราะห์กลุ่มเดียวกันนี่แหละ แนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีปัญหาหนี้เสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นลูกหนี้มหาศาลหลายหมื่นล้าน โดยอ้างว่า ซึมซับไปหมดแล้ว ซึ่งฟังดูแล้วง่ายเกินไป ก็เป็นปริศนาที่เข้าใจยากอีกเช่นกัน

บรรยากาศหลังการประมูลคลื่น 4G (มีผู้ชนะการประมูลรายหนึ่งพร้อมจ่ายเงินทันทีด้วย) ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบรรยากาศก่อนการประมูล

ก่อนการประมูล นักวิเคราะห์พากันส่งเสียงเชียร์การประมูลโดยให้เหตุผลว่า คาดจะสร้าง Sentiment เชิงบวกให้หุ้นสื่อสารต่อเนื่อง โดยอ้างอิงว่า การแข่งขันน่าจะไม่รุนแรงมากนัก

ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม ทำให้ท่าทีของนักวิเคราะห์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มองว่าทั้งคนที่ได้รับใบอนุญาตราคาแพง และคนที่ไม่ได้รับชัยชนะในการประมูล ล้วนแล้วแต่มีปัญหาทั้งสิ้น สรุปไม่ได้ชัดเจนว่า แล้วคนที่ได้ และไม่ได้นั้น ใครได้หรือใครเสียกันแน่

ตัวอย่างเช่น เดิมคาดกันว่า ADVANC ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ต้องการคลื่นความถี่เพิ่มเติมมากที่สุด เพราะปัจจุบันให้บริการลูกค้าที่มีมากสุดในกลุ่มเกือบทั้งหมดโดยคลื่น 2.1 GHz คลื่นเดียว ซึ่งด้วยศักยภาพคลื่น 900 MHz ที่นำไปพัฒนาเป็นบริการ 3G ได้ อีกทั้งยังส่งสัญญาณได้ไกล คาดว่า ADVANC จะนำไปเสริมบริการ 3G ทั่วประเทศ

นอกจากนั้น ยังมีการคาดเดาเพิ่มเติมว่า ADVANC จะชนะประมูลคลื่น 1800 MHz เช่นกัน เพราะต้องการนำคลื่นไปปิดจุดอ่อนพัฒนาเป็นบริการ 4G ที่ยังไม่มีรายเดียว ขณะที่เป็นผู้ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งสุด ดังนั้น ในการประมูลรอบนี้เชื่อว่า ADVANC จะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดในกลุ่มจากแนวโน้มที่จะชนะทั้ง 2 คลื่น ถือเป็นหุ้น Top Picks

ท่าทีดังกล่าว กลับตรงกันข้าม เมื่อ ADVANC ได้รับชัยชนะ กลายเป็นคำแนะนำให้ขาย เท่ากับว่า คำแนะนำก่อนหน้านั้น ใช้การไม่ได้โดยสิ้นเชิง โดยบุคคลกลุ่มเดียวกัน และมีภูมิความรู้เดิมนั่นเอง

ความแปลกประหลาด และเข้าถึงยากเช่นนี้ อาจจะเป็นบุคลิกภาพ แบบไทยๆ” ของนักวิเคราะห์สำนักโบรกเกอร์ต่างๆ ที่ชวนตั้งคำถามพอสมควร ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าทีที่เปลี่ยนไปมาโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

 

Back to top button