
KKP เปิดตัวกองทุน CorePath Multi-Asset กระจายลงทุนทั่วโลก ลดเสี่ยงเพิ่มโอกาส
กลุ่มเกียรตินาคินภัทรเปิดตัวกองทุน KKP CorePath Multi-Asset Series เน้นกระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก พร้อมปรับพอร์ตอย่างยืดหยุ่นเพื่อลดความผันผวนและสร้างการเติบโตระยะยาว
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เปิดตัวกองทุน KKP CorePath Multi-Asset Series ซึ่งออกแบบมาให้เป็นพอร์ตการลงทุนหลักสำหรับนักลงทุนทุกระดับความเสี่ยง โดยเน้นจุดแข็งด้านการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายทั่วโลก และการปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด เพื่อช่วยลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสการเติบโตในระยะยาว กองทุนนี้บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของ Goldman Sachs Asset Management ในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์คุณภาพ ซึ่งโดยทั่วไปนักลงทุนรายย่อยไม่สามารถเข้าถึงได้ พร้อมระบบบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็ง
กลยุทธ์การลงทุนแบบ Multi-Asset ของกองทุนนี้มุ่งกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ เพื่อลดการพึ่งพาผลตอบแทนจากแหล่งใดแหล่งหนึ่ง ขณะเดียวกันยังมีความยืดหยุ่นปรับพอร์ตได้ทันต่อสภาวะตลาด โดยผสมผสานการกำหนดสัดส่วนเชิงกลยุทธ์ระยะยาวกับการปรับพอร์ตระยะสั้น เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนและลดความเสี่ยง ซึ่งเป็นแนวทางที่สถาบันการลงทุนชั้นนำทั่วโลกนิยมใช้
นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด กล่าวว่า “กองทุน KKP CorePath เป็นมากกว่าทางเลือก แต่เป็นพอร์ตหลักที่นักลงทุนทุกคนควรมี โดยมีตัวเลือกตั้งแต่ UltraLight ไปจนถึง Extra ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้” ทั้งนี้ KKP CorePath Multi-Asset Series จัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 5 (ปานกลางค่อนข้างสูง) โดยมีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน และเงินฝาก ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
กองทุนมีให้เลือก 4 ระดับความเสี่ยง พร้อมกลยุทธ์การบริหารแบบ Active Management ที่ปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่องตามสภาวะตลาด โดยอาศัยการวิเคราะห์เชิงลึกทั้งปัจจัยพื้นฐาน มูลค่า และการวิเคราะห์ทางเทคนิค รวมถึงการวิเคราะห์ในระดับ factor เพื่อเพิ่มความแม่นยำด้านการบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทน
ด้านนายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด เปิดเผยว่า แม้ตลาดการเงินโลกยังเผชิญความผันผวนจากเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีปัจจัยบวกชัดเจน ทั้งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ และมาตรการลดภาษีจาก One Big Beautiful Bill ที่จะหนุนเศรษฐกิจในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประกอบกับงบดุลภาคเอกชนและความมั่งคั่งครัวเรือนที่แข็งแรง จึงคาดว่าเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มเติบโตต่อหลังปี 2569 ถือเป็นจังหวะเหมาะสมสำหรับการทยอยลงทุน โดยเน้นการกระจายความเสี่ยงและเลือกสินทรัพย์คุณภาพ เพื่อรองรับความไม่แน่นอนและสร้างโอกาสการเติบโตในอนาคต