KTAM ออกทริกเกอร์ ลงทุนเมกะเทรนด์ เป้า 7% ใน 7 เดือน

KTAM ออกทริกเกอร์ ลงทุนเมกะเทรนด์ เป้า 7% ใน 7 เดือน


นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า KTAM เตรียมต้อนรับปีใหม่ด้วยการเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเคแทม ธีมเมติก ทริกเกอร์ ฟันด์2 (KT-TMT2) ระหว่างวันนี้ ถึง 14 มกราคม 2564 เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท

โดยกองทุนนี้มีความน่าสนใจตรงที่มีการบริหารแบบยืดหยุ่นและกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบกำหนดธีมการลงทุน Thematic Investment ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งจะวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก หรือ Mega Trends เพื่อค้นหากลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จาก Mega Trends เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการลงทุนที่ 7%ในระยะเวลา 7 เดือน

รวมถึง มุ่งเน้นกลุ่มหุ้นวัฎจักรที่เคลื่อนไหวตามแนวโน้มของภาวะโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม และตัวชี้วัดภาพรวมของเศรษฐกิจได้ดี เช่น ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ที่ราคาขยับขึ้นต่ำกว่าดัชนีตลาด (Laggard) จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนในการลงทุนระยะสั้นจากการจับจังหวะตลาด (Market Timing)

นอกจากนี้ ยังรับประโยชน์จากแนวโน้มการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งจากความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จึงทำให้ธีม Post Covid-19 Recovery ซึ่งหมายถึง กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น หุ้นกลุ่มการเงิน กลุ่มพลังงาน ค้าปลีก กลุ่มโรงแรม เป็นต้น และ ธีม US Recovery ซึ่งหมายถึง หุ้นในตลาดสหรัฐฯ กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัว เช่น ห้างค้าปลีกในสหรัฐฯ มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ

ทั้งนี้กองทุนมีนโยบายลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ อาทิ หน่วย CIS และ/ หรือ กองทุนรวมอีทีเอฟ และ/หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และ/หรืทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และ/หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (กองทุนปลายทาง) ตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป โดยการลงทุนในกองทุนปลายทางดังกล่าวมีนโยบายลงทุนทั้งในตราสารแห่งทุน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ทรัพย์สินทางเลือก และ/หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นใดตามที่กฎหมาย ก.ล.ต. กำหนด

โดยกองทุนนี้จะพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตั้งแต่ร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งสัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และกองทุนจะมีการลงทุนที่ส่งผลให้มี Net Exposure ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่างประเทศโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน และหรือการบริหรความเสี่ยงรวมทั้งกองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

สำหรับเงื่อนไขการเลิกกองทุน บริษัทจัดการจะดำเนินการเลิกกองทุนภายใน 5 วันทำการ เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ตามที่บริษัทจัดการเห็นสมควร ดังต่อไปนี้ (1) เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10.7222 บาท เป็นเวลา 2 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป และทรัพย์สินของกองทุนที่จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติจะต้องเป็นเงินสดหรือเทียบเท่าเงินสดทั้งหมด หรือเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10.7222  บาท และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสดหรือเทียบเท่าเงินสดทั้งหมด ณ วันทำการใด หรือ  (2) กรณี ณ วันทำการใดก็ตามที่ทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสดหรือเทียบเท่าเงินสดบางส่วน หรือทั้งหมด และสามารถรับซื้อคืนได้ไม่ต่ำกว่าอัตราที่บริษัทจัดการกำหนด

ทั้งนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งตาม (1) หรือ (2) แล้วแต่กรณี บริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมดภายใน 5 วันทำการนับแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ มูลค่าหน่วยลงทุนที่คืนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 107 ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท)

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ที่มูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นจนเป็นเหตุให้เลิกกองทุนภายใน 7 เดือนนับตั้งแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม บริษัทจัดการจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถทำการขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการซื้อขายที่บริษัทจัดการกำหนด และหาก ณ วันใดก็ตามที่กองทุนเข้าเงื่อนไขการเลิกกองทุนตามเงื่อนไขที่บริษัทจัดการกำหนด บริษัทขอสงวนสิทธิที่จะดำเนินการเลิกกองทุนตามเหตุการณ์ดังกล่าว

 

Back to top button