KTAM ออกกองตราสารหนี้ตปท.อายุ 3 เดือนชูผลตอบแทน 1.4% เสนอขาย 22-28 มิ.ย.

KTAM ออกกองตราสารหนี้ตปท.อายุ 3 เดือน เสนอขาย 22-28 มิ.ย.59 ชูผลตอบแทน 1.40% ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจผันผวน


นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้เอฟไอเอฟ 102 (KTFF102) เสนอขาย วันที่ 22-28 มิถุนายน 2559 อายุ 3 เดือน เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศทั้ง 100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนซึ่งประกอบด้วย เงินฝากประจำ Bank of china (Macau),China Construcytion Bank (Asia) Corp.Ltd,Agricultural Bank of CHINA,Union National Bank PJSC และ First Gulf Bank PJSC โดยคาดผลตอบแทนประมาณ 1.40% ต่อปี

สำหรับ KTFF102 เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการล็อคผลตอบแทนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวนจากปัจจัยต่างๆ และผลตอบแทนสำหรับบุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี

นางชวินดา กล่าวอีกว่า ในช่วงเวลานี้ตลาดหุ้นมีความผันผวน สาเหตุหลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นซึ่งทำให้ตลาดตราสารหนี้และทองคำ มีการขายทำกำไรออกมา ปัจจัยหลัก ๆ เป็นเรื่องของความไม่แน่นอนในเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด การประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น และสิ่งที่ตลาดให้ความสำคัญมากคือเรื่องของประชามติ Brexit เกี่ยวกับการถอนตัวของสหราชอาณาจักรจากการเป็นสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรปในวันที่ 23 มิถุนายนนี้

ทั้งนี้ หากอังกฤษเลือกที่จะออกจากกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน รวมถึงระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ตลาดเข้าสู่โหมดการปกป้องตัวเองจากความเสี่ยง (Risk-Off) เม็ดเงินลงทุนจะเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ-เยอรมนี และทองคำในขณะที่ตลาดหุ้นในยุโรปเกิดแรงเทขายอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ในมุมองของบลจ.กรุงไทย คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ย ในช่วงเดือน กรกฎาคม กันยายน หรือ ธันวาคม อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งสหรัฐฯเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน คาดว่าจะมีผลต่อการตัดสินในการดำเนินนโยบายของเฟด

อนึ่ง ด้านปัจจัยการลงคะแนนประชามติ Brexit บลจ.กรุงไทย คาดว่า มีโอกาสอยู่บ้างที่จะอยู่ต่อในยูโรโซนต่อไป ทั้งนี้จากสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ การจัดพอร์ตการลงทุนนับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับประชาชนที่ต้องการลงทุน เพื่อเก็บออมไว้ใช้ในอนาคต และเป็นการสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่มากขึ้น ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศยังมีความผันผวนต่อการลงทุน จึงไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ควรจะมีการกระจายพอร์ตการลงทุน

การปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนที่พอรับความเสี่ยงได้ อาจจะพิจารณาลงทุนในตราสารทุน 46% ตราสารหนี้ 38% สินทรัพย์ทางเลือก 11% และเงินสด 5% โดยคิดเป็นสินทรัพย์ที่อยู่ภายในประเทศ 68% ต่างประเทศ 32% ทั้งนี้ เชื่อว่าตลาดตราสารทุนยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หากสามารถผ่านพ้นปัจจัยลบที่เป็นเหตุการณ์ต่างๆ ไปได้ จะทำให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาดีและเพิ่ม Upside ให้กับตลาดตราสารทุนได้อีกครั้ง

Back to top button