เปิดโผ 5 หุ้นพื้นฐานแกร่ง! โบรกฯแห่อัพเป้า ดันอัพไซด์สูง 20%

เปิด 5 หุ้น อัพไซด์สูงเกิน 20% โดยคำนวณจากราคาเป้าหมายทั้งหมดสามโบรกเกอร์ โดยมาเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 11 มิ.ย. 2564 ประกอบกับโบรกฯยังประเมินปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง 


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าด้วยประเด็นที่มีบทวิเคราะห์หลายบริษัทหลักทรัพย์อย่างน้อย 3 แห่ง มีการประเมินแนวโน้มผลประกอบการช่วงในปี 2564 พร้อมให้ราคาเป้าหมาย เพื่อเป็นแนวทางการลงทุน เมื่อมาเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ ปัจจุบันก็ยังมีอัพไซด์เกินกว่า 20%

โดยผลการสำรวจเบื้องต้นพบว่ามี 5 หลักทรัพย์ที่เมื่อเทียบราคาหุ้นบนกระดานกับราคาเป้าหมายทั้ง 3 บริษัทหลักทรัพย์ประเมินไว้พบว่ายังมีอัพไซด์เกิน 20% ได้แก่ PTG, ADVANC, CPF, RS และ EPG เป็นต้น

บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG พบว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2564 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 19.50 บาท หากเทียบกับราคาเป้าหมายของทางบริษัทหลักทรัพย์ประเมินไว้ อย่างบล.ทิสโก้ ให้ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 25.64% ขณะที่บล. เคทีบีเอสที ให้ราคาเป้าหมาย 25.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 28.21% และบล.ทรีนีตี้ ให้ราคาเป้าหมาย 25.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 28.21%

สำหรับรายละเอียดบทวิเคราะห์ของทาง บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น PTG มองว่าแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2564 อาจจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน และทรงตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่อย่างไรคาดจะเห็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในไตรมาส 3 ปี 2564 จากคาดสถานการณ์การระบาดโควิดดีขึ้นหลังการกระจายวัคซีน และสามารถกลับมาเดินทาง กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ปกติ ดังนั้นยังคงมีมุมมองเชิงบวกในระยะยาว ยังคงแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าที่เหมาะสม 24.50 บาท

ขณะที่ทาง บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น PTG มีมุมมองเป็นกลางหลังจากเข้าร่วมงาน Opportunity Day ยังไม่มีประเด็นใหม่และทิศทางการดำเนินธุรกิจยังคงอยู่ในกรอบที่เดิมประเมิน อย่างไรก็ตามยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2564 ที่ 1.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มองแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 2/2564 อ่อนตัวจากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาล และคาดฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2564 จากการเดินทางที่มากขึ้นอิงสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายรวมถึง high seasonของ palm complex ในไตรมาส 4 ปี 2564 ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 25.00 บาท

ขณะเดียวกันทาง บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น PTG โดยยังคงประมาณการกำไรปี 2564 อยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท ด้วยมุมมอง conservative โดยยังประเมินกำไรจากส่วนแบ่งรายได้ Palm Complex ที่ 200 ล้านบาท แต่แนวโน้มราคาปาล์มยังอยู่ในระดับสูง 35 บาทต่อกก. ซึ่งยังอยู่สูงในระดับเดียวกับไตรมาส 4 ปี 2563 ที่ผ่านมา ดังนั้นมีโอกาสที่ส่วนแบ่งกำไรจะมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาป้าหมายปี 2564 ที่ 25.00 บาท

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC พบว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2564 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 174.50 บาท หากเทียบกับราคาเป้าหมายของทางบริษัทหลักทรัพย์ประเมินไว้ อย่างบล.ทิสโก้ ให้ราคาเป้าหมาย 224.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 28.37% ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ให้ราคาเป้าหมาย 232.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 32.95% และ บล.เอเชีย เวลท์ ให้ราคาเป้าหมาย 221.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 26.65%

สำหรับรายละเอียดบทวิเคราะห์ของทาง บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น ADVANC โดยมองเป็นบริษัทที่มีความโดดเด่นเรื่องเทคโนโลยีที่จะหนุนโอกาสการเติบโตที่ดีในระยะยาวได้ซึ่งเป็นบวกต่อผลดำเนินงานคาดสดใส อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสมํ่าเสมอภายใต้นโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ตํ่ากว่าร้อยละ 70 ของกำไรสุทธิ เทียบเท่าอั ตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยปีละ 3-4% แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 2564 ที่ 224.00 บาท

ขณะที่ทาง บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น ADVANC โดยแม้ในไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทจะทำรายได้ลดลงเล็กน้อยซึ่งเป็นผลจาก Seasonal และรายได้หลักจากโทรศัพท์มือถือยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดของ Covid-19 รวมถึงการแข่งขันแบบไม่จำกัดดาต้า อย่างก็ตาม หาก Covid-19 สิ้นสุดที่การระบาดระลอกสามนี้ผลกระทบดังกล่าวจะมีโอกาสบรรเทาลงไป และทำให้กำลังซื้อในประเทศของผู้บริโภคเริ่มกลับมาทั้งจากกลไกเศรษฐกิจฟื้นตัว และจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐอันจะช่วยให้กำลังซื้อกลับมาได้ โดยในส่วนของผู้ใช้บริการ 5G ที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบันเป็นผลได้จากการเปิดตัวโทรศัพท์ iPhone 12 ที่รองรับระบบ 5G ทำให้มีผู้งาน เพิ่ม 4.80 แสนราย และปัจจุบันบริษัทฯมีผู้ใช้บริการ 5G รวม 7.19 แสนราย (คิดเป็น 6.8% ของลูกค้าแบบ Post-Paid) โดยในปี 2564 ตั้งเป้ าผู้ใช้งาน 5G รวม 1 ล้านเลขหมาย หากทำได้ตามเป้าได้สำเร็จจะทำให้ ARPU เพิ่มขึ้นราว 10-15% จึงแนะนำ “ซื้อสะสม” โดยคงราคาเป้ าหมายปี 2564 ที่ 232.00 บาท

ขณะเดียวกันทาง บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น ADVANC มีมุมมองเป็นบวกเนื่องจาก (1) คาดการฟื้นตัวของรายได้ในครึ่งหลังของปี 2564 หลังประเมินว่า สถานการณ์ COVID-19 มีแนวโน้มคลี่คลายในช่วงเวลาดังกล่าว หลังรัฐบาลเชื่อว่าจะสามารถ ฉีดวัคซีนได้อย่างแพร่หลาย รวมทั้งคาดว่าการเปิดประเทศจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2564 จะเป็นปัจจัยหนุนรายได้ในส่วนธุรกิจโทรศัพท์มือถือให้สูงขึ้น

ตามด้วย (2) การเปิดตัวโทรศัพท์ที่รองรับ 5G ในราคา ที่ถูกลง จะเป็นปัจจัยหนุนต่อจำนวนผู้ใช้งาน 5G ให้ถึงเป้า 1 ล้านรายในปี 2564 ซึ่งราคาแพ็กเกจ 5G สูงกว่าแพ็กเกจปกติอยู่ราว 10-15% (3) รายได้ธุรกิจอินเตอร์เน็ตมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งได้อานิสงส์จากมาตรการ Work from Home (4) ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับ SET โดยจากต้นปีถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ประเมินว่ามีแนวโน้มที่ทางบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงขึ้น หาก GULF มีการซื้อ INTUCH ทำให้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้มูลค่าเหมาะสมที่ 221.00 บาท

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF พบว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2564 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 27.00 บาท หากเทียบกับราคาเป้าหมายของทางบริษัทหลักทรัพย์ประเมินไว้ อย่างบล.ทรีนีตี้ ให้ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 66.67% ขณะที่บล.ฟิลลิป ให้ราคาเป้าหมาย 38.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 40.74% และบล.เอเชีย เวลท์ ให้ราคาเป้าหมาย 43.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 59.26%

สำหรับรายละเอียดบทวิเคราะห์ของทาง บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น CPF  โดยมองว่าข่าวการปิดโรงงานที่สระบุรีส่งผลกระทบในเชิงจิตวิทยา แต่ในด้านพื้นฐานยังไม่ กระทบอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2564 อาจอ่อนตัวลงบ้างจากผลกระทบ ของราคาหมูในจีน-เวียดนาม ที่อ่อนตัว แต่การอ่อนตัวเป็นระยะสั้นจากการเทขายหมูของ เกษตรกรจากการระบาดรอบใหม่ของโรค ASF และคาดว่าจะฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง เจึงยังคงราคาเป้าหมาย 45 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ขณะที่ทาง บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น CPF คาดการดําเนินงานช่วงที่เหลือของปีจะอ่อนลงเนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ที่อ่อนลงจากการเลี้ยงที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในต่างประเทศ  แต่อาจได้สวนช่วยจากการฟื้นตัวของการรับรู้สวนแบ่งกำไร จาก บ. ร่วมที่ดีขึ้นโดยเฉพาะ CPALL หลังสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลง โดยทางฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการยอดขายเป็น 492,957 ล้านบาทลดลง 16% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ได้ปรับลดการรับรู้สวนแบ่งกําไรจากบ. ร่วมลง จากเดิมจากการดำเนินงานที่ออกมาน้อยกว่าคาด และปรับกำไรก่อนรายการพิเศษอยู่ที่ 19,476 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

แม้ทางฝ่ายวิจัยจะมีการปรับประมาณการลงจากส่วนแบ่งกำไรที่น้อยกว่าคาดและช่วงที่เหลือของปีอาจ ได้รับผลจากราคาเนื้อสัตว์อ่อนลง แต่ราคาหุ้นปัจจุบันไม่แพงมากซื้อขายบน PE เพียง 11 เท่าทำให้คงแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาพื้นฐานเป็น 38 บาท

ขณะเดียวกันทาง บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น CPF แม้ในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา บริษัทยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มองว่าหลัง เหตุการณ์ COVID-19 จะเติบโตได้อีก ทั้งนี้บริษัทมองการเติบโตจากประเทศที่เข้าไปลงทุนใหม่ โดยเฉพาะฟิลิปปินส์รัสเซียและ ไต้หวัน นอกจากนี้มีนโยบายควบคุม ค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด โดยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ต้นทุน การผลิตลดลง ทั้งนี้คาดว่าภาพรวมครึ่งหลังของปี 2564 ดีกว่าครึ่งแรกของปี 2564 จากราคาหมูที่คาดว่าจะปรับสูงขึ้น แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 43.00 บาท

บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS พบว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2564 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 24.00 บาท หากเทียบกับราคาเป้าหมายของทางบริษัทหลักทรัพย์ประเมินไว้ อย่างบล.ทิสโก้ ให้ราคาเป้าหมาย 31.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 29.17% ขณะที่บล.เคจีไอ ให้ราคาเป้าหมาย 32.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 33.33% และ บล.เคทีบีเอสที ให้ราคาเป้าหมาย 31.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 29.17%

สำหรับรายละเอียดบทวิเคราะห์ของทาง บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น RS โดยประเมินแนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2564 ธุรกิจ commerce ยังดีต่อเนื่องในส่วนการขายสินค้ากลุ่มเดิมจากการทำโปรโมชั่น การตลาด และการเพิ่มช่องทางจำหน่ายมากขึ้น แต่สินค้าใหม่ในกลุ่ม mass market เครื่องดื่ม วิตามินซี Camu C ที่เปิดตัวขายใน 7-11 เมื่อปลายเดือนเม.ย. 2564 อาจจะกระทบบ้างในช่วง COVID-19

ส่วนของธุรกิจ media ยังอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบการใช้จ่ายสื่อโฆษณา ลดลงช่วง COVID-19 เช่นกัน แต่บริษัทมีการเตรียมความพร้อมลดต้นทุนจากการรีรันคอนเทนท์เดิม สำหรับช่วงครึ่งปีหลังยังมีสินค้าหลายรายการในกลุ่มอาหารเสริม เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์ เลี้ยงสุนัขและแมวซึ่งเตรียมไว้หลาย SKU ทั้งนี้ยังคงประมาณการเดิมคาดกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 710 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2565 อยู่ที่ 845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ จากธุรกิจ commerce ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นหลัก

ทั้งนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกในการวางกลยุทธ์ธุรกิจของบริษัท จากโมเดลของ RS ที่ครอบคลุมลูกค้าใหม่ เพิ่มขึ้นได้หลายช่องทางและจากการสร้างพันธมิตรที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบใช้ฐานข้อมูลที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสร้างยอดขายเติบโตต่อเนื่อง ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 31 บาท

ขณะที่ทาง บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น RS โดยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 เอาไว้ตามเดิมที่ 715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากคาดว่ากำไรจะแข็งแกร่งมากขึ้นในครึ่งหลังของปี 2564 และจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2565 เป็น 1.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะจะได้แรงหนุนจาก 1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่จะช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงสินค้าในธุรกิจพาณิชย์ และยอดโฆษณาของ RS ด้วย 2. จะเป็นปีแรกที่รับรู้รายได้เต็มปีจากสินค้าใหม่ที่วางจำหน่ายในไตรมาส 2 ปี 2564 ซึ่งได้แก่ Well U (คอลลาเจนเกรดพรีเมียม) และ CAMU-C (เครื่องดื่มน้ำผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง) และสินค้าใหม่ที่จะวางจำหน่ายตั้งแต่ในครึ่งหลังปี 2564

อย่างไรก็ตามจากคาดว่ากำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2565 และยังมี Upside อีกจากผลิตภัณฑ์กัญชงซึ่งยังมารวมไว้ในประมาณการ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 32.00 บาท

ขณะเดียวกันทาง บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น RS เชื่อมั่นว่าจะเห็นการเร่งตัวของกำไรตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2564 เป็นต้นไป จากรายได้ commerce ที่เติบโตต่อเนื่องหนุนโดยสินค้าใหม่ที่เริ่ม launch ในไตรมาส 2 ปี 2564 เป็นต้นไป อีกทั้ง media เริ่มฟื้นตัวเนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มใช้งบโฆษณาเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลัง COVID-19 ระลอก 3 คลี่คลาย ประชาชนได้รับวัคซีนมากขึ้น

ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 803 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 52% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนโดย 1) รายได้รวมขยายตัวเพิ่มขึ้น 32% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จาก commerce เพิ่มขึ้น 40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวส่งผลให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น, การออกผลิตภัณฑ์ใหม่, รับรู้รายได้จากช่องทีวีดิจิทัลอื่นๆ และแอพลิเคชั่น CoolAnything เปลี่ยนคนฟังเป็นคนซื้อเต็มปี, รายได้จาก Media ขยายตัวจากเม็ดเงินโฆษณาที่ฟื้นตัว และรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ให้ OTT platform ที่ยังดีต่อเนื่อง, รายได้ จาก music & others ฟื้นตัว, 2) GPM ที่ 53.6% ขยายตัวต่อเนื่องจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจ commerce และ media อีกทั้งยังรับรู้ ค่า MUX ที่ได้รับการยกเว้น

ดังนั้นจากการเชื่อมั่นว่าโมเมนตัมของกำไรอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2564-2565 จะทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง  แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 31 บาท

บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG พบว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2564 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 11.00 บาท หากเทียบกับราคาเป้าหมายของทางบริษัทหลักทรัพย์ประเมินไว้ อย่างบล.ฟิลลิป ให้ราคาเป้าหมาย 14.40 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 3.91% ขณะที่บล.เคจีไอ ให้ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 40.91% และบล.เคทีบีเอสที ให้ราคาเป้าหมาย 15.00 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 36.36%

สำหรับรายละเอียดบทวิเคราะห์ของทาง บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น EPG มีมุมมองบวกต่อการเติบโต EPG คาดสดใส เบื้องต้นปรับกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้นเป็น 1,386 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ภายใต้สมมติฐานรายได้คาดเพิ่มขึ้น 12.4%  จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ GPM ที่ 30.8% ประเมินราคาพื้นฐานใหม่ที่ 14.40 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

ขณะที่ทาง บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น EPG โดยประเมินกำไรสุทธิในปี 2564/65 จะเติบโตเพิ่มขึ้น 23% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 1.5 พันล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่  จุดสูงสุดเดิมทำไว้ที่ราว 1.4 พันล้านบาท โดยได้แรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 ทำให้เกิดการ Re-stock สินค้าอีกครั้งทั่วโลก ซึ่งฝ่ายวิจัยฯบล.เคจีไอ (ไต้หวัน) ประเมินวัฎจักรการ Re-stockทั่วโลกจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไปถึงจุด Peak ที่ราวๆกลางปี 2565

โดยประเมินแนวโน้มกำทั้งปีจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ จึงปรับวิธีประเมินราคาเป้าหมายใหม่เป็นเป้าหมาย Forward PE ที่ 29 เท่า คิดเป็น +1 เท่าของสวนเบี่ยงเบน มาตรฐานในอดีต ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 15.50 บาท แนะนำ “ซื้อ”

ขณะเดียวกันทาง บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ส่วนของหุ้น EPG ประเมินกำไรปกติปี 2564/65 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามการเติบโต ทั้ง 3 ธุรกิจ Aeroklas (ชิ้นส่วนรถยนต์), Aeroflex (ฉนวนกันความร้อน/เย็น) และ EPP (บรรจุภัณฑ์)

ส่วนงวดไตรมาส 1 ปี 2565 จะเติบโตได้ทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว รวมถึงยังมีการปรับราคาขายในทุกกลุ่มสินค้าขึ้นเฉลี่ย 5%-10% ชดเชยต้นทุนวัตถุดิบและ ค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น จากที่ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ EPG ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเองเกือบทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ไตรมาส 1 ปี 2565 ทั้ง GPM และ SG&A/Sales ดีขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ 31.7% และ 19.5% ตามลำดับ นอกจากนั้น EPG ยังประเมินว่าต้นทุนวัตถุดิบเม็ดพลาสติกจะมีโอกาสปรับตัวลงในช่วงครึ่ง หลังของปีนี้ ตาม supply ในโลกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุน GPM ให้มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นได้อีก  ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ประเมินราคาเป้ าหมายที่ 15.00 บาท

Back to top button