WICE แย้มครึ่งปีหลังโตรับ “ไฮซีซั่น” ผุดคลังสินค้าใหม่ ดันรายได้ตามเป้า 4.8 พันลบ.

WICE เผยครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่องหลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นธุรกิจ เล็งเปิดคลังสินค้าแห่งใหม่ และสำนักงาน ETL ในประเทศไทย เจรจาพันธมิตร เพิ่มบริการขนส่งข้ามแดน พร้อมขยายฐานลูกค้า มั่นใจรายได้เติบโตตามเป้าหมาย 4,800 ล้านบาท


นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 64  มีแนวโน้มที่ดี

โดยในช่วงครึ่งปีหลังถือเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ มีปัจจัยเสริมจากความต้องการขนส่งทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่อง อาทิ สหรัฐฯ และ จีน ทำให้มีความต้องการสินค้าที่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ในบ้าน, กลุ่มสินค้าในครัวเรือน และ โซล่าเซลล์ ส่งผลให้บริษัทมีงานขนส่งเพิ่มขึ้น ครอบคลุมในธุรกิจหลักทั้ง 4 ประเภท ทั้งงานบริการทางอากาศ (Air Freight), การขนส่งทางทะเล (Sea Freight), ขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (Cross Border Service ) และบริการด้านซัพพลายเชนโซลูชั่นส์

สำหรับธุรกิจบริการด้านซัพพลายเชนโซลูชั่น โดย บริษัท ไวส์ ซัพพลายเชน โซลูชั่นส์ จำกัด (บริษัทย่อย) ผู้ให้บริการด้านซัพพลายเชนโซลูชั่นส์แบบครบวงจร ทั้งงานคลังสินค้า การกระจายสินค้า การขนส่งสินค้า (Equipment) ขนาดใหญ่ มีแนวโน้มที่ดีสอดรับกับธุรกิจขนส่งในประเทศที่มีการขยายตัวของปริมาณงานการบริหารจัดการคลังสินค้า และการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทจึงเตรียมเล็งเปิดคลังสินค้าแห่งใหม่ ถนนบางนา-ตราด กม. 18 เพื่อรองรับการขยายงานในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ในอนาคต ทั้งรูปแบบบริษัท กลุ่มลูกค้าธุรกิจการค้าปลีก (Retail) และกลุ่มลูกค้า E-Commerce โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 3/64 และจะทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง 64

ส่วนธุรกิจขนส่งข้ามพรมแดน (Cross Border Services) ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (ETL) ขณะนี้ดำเนินการจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย เพื่อรองรับการเติบโตของการขนส่งข้ามพรมแดนที่มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด จากการเป็นบริการขนส่งทางเลือกให้กับลูกค้าทดแทนการขนส่งทางเรือ และ ทางอากาศ อีกทั้ง บริษัทวางแผนสร้างการเติบโตจากปัจจัยภายนอกเพิ่มขึ้น (Inorganic Growth) โดยมีแผนเจรจาพันธมิตร กับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่เพื่อขยายศักยภาพการบริหารงาน ขยายเส้นทางการขนส่ง และ เพิ่มโอกาสในการรับงานมากขึ้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงปลายไตรมาส 3/64

นอกจากนี้บริษัทได้รับมอบตู้คอนเทนเนอร์ที่มีการลงทุนสั่งซื้อเพิ่มครบถ้วนจำนวน 200 ตู้ โดยมีเที่ยวรถขนส่งสินค้าให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 1,200 เที่ยวต่อเดือน และมีแผนขยายตลาดในกลุ่มการให้บริการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Services) โดยเปลี่ยนการขนส่งตู้สินค้าจากทางรถยนต์เป็นรถไฟ จากประเทศจีนถึงประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและกลุ่มยุโรป ตามเส้นทางในโครงการ One Belt One Road อีกทั้งบริษัทได้เพิ่มการให้บริการขนส่งสินค้าแบบไม่เต็มตู้ (LTL) เพื่อสร้างความสะดวกให้กับลูกค้าที่มีปริมาณของไม่มากซึ่งได้ขนส่งใน 5 เส้นทางหลักครอบคลุมพื้นที่สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย เวียดนาม และ จีน คาดว่าธุรกิจการขนส่งข้ามแดนจะมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ขณะที่การขนส่งทางเรือ และ ทางอากาศ บริษัทได้รับอานิสงส์จากประเทศจีนเริ่มทยอยย้ายฐานการผลิตกลับมาในประเทศไทย ขณะเดียวกันปัจจัยเรื่องค่าระวางเรือและทางอากาศที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับสูงจากสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนและจำนวนเที่ยวบินที่ลดลง อีกทั้งค่าเงินบาทอ่อนค่าจะช่วยผลักดันราคาการให้บริการสูงขึ้น คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อเนื่องและส่งผลดีกับบริษัทไปถึงสิ้นปี

“ครึ่งปีหลังถือว่าเป็นไฮซีซั่นในการขนส่งสินค้า เห็นได้จากภาพรวมการส่งออกของประเทศที่ดีขึ้น อีกทั้งปัจจัยค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทมีการเดินหน้าขยายธุรกิจและเพิ่มบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างประโยชน์ให้ลูกค้าในการเลือกใช้บริการที่ครบวงจร มั่นใจว่ารายได้รวมทั้งปีจะเติบโตตามเป้าหมายที่ 20% หรืออยู่ที่ 4,800 ล้านบาท” นายชูเดช กล่าว

โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานบริการทางอากาศ (Air Freight) 33%, การขนส่งทางทะเล (Sea Freight) 31%, ขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (Cross Border Service ) 29% , และงาน Logistics 7%

Back to top button