STECH ดีเดย์เทรดวันนี้! ลุ้นวิ่งชนเป้า 3.93 บ. ชูพื้นฐานแกร่งกำไรโตต่อเนื่อง

STECH เข้าเทรด SET วันนี้ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ชูพื้นฐานเด่น กำไรโตสม่ำเสมอ ลุ้นราคาวิ่งแตะเป้า 3.93 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้หลักทรัพย์ บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) จะเข้าทำการจดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ภายใต้ชื่อย่อ STECH โดยจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. 725 ล้านหุ้น โดยเป็นหุ้น IPO จำนวน 203.5 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท

ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท. เปิดเผยว่า ยินดีต้อนรับ STECH เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ

โดย STECH ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงภายใต้เครื่องหมายการค้า STEC ได้แก่ เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรงและผลิตภัณฑ์ประกอบเสาไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์คานสะพานและพื้นสะพาน เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงโดยใช้แรงเหวี่ยง โดยให้บริการแก่ลูกค้าทั้งภาครัฐบาลและเอกชน พร้อมกับการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องอย่างครบวงจร เช่น บริการขนส่งและตอกเสาเข็ม ทั้งนี้บริษัทยังมีศักยภาพในการทำงานรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวกับธุรกิจหลัก โดยมีประสบการณ์ในงานติดตั้งระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 115 kV และงานติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสง

ขณะที่ STECH มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลังเสนอขายหุ้น 725 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 521.5 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 203.5 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกระหว่างวันที่ 13 – 16 กรกฎาคม 2564 ในราคาหุ้นละ 2.78 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 565.73 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,015.5 ล้านบาท

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E) 14.14 เท่า ซึ่งคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทฯ ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ โดยมี บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย)  และ บล. เคทีบีเอสที เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายวัฒน์ชัย มงคลศรีสวัสดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STECH เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ STECH จะได้เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของบริษัท และเชื่อมั่นว่าจะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจและสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุน โดยบริษัทฯมีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนไปขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงในโครงการต่างๆ โดยลงทุนในโรงงานแห่งใหม่ 2 แห่งที่ชลบุรีและมุกดาหาร รวมทั้งเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานเดิม เพื่อย้ำจุดแข็งการมีโรงงานกระจายอยู่ในหลายภูมิภาคของประเทศ นอกจากนี้เงินที่ได้จากการระดมทุนส่วนหนึ่งจะใช้ในชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน

โดย STECH มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และทุนสำรองตามกฎหมาย ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงิน สภาพคล่อง แผนการขยายธุรกิจ ความจำเป็นและความเหมาะสมในอนาคตและปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการบริหารงานของบริษัทฯ  ตามความเห็นสมควรหรือเหมาะสมของคณะกรรมการบริษัทฯ

ทั้งนี้ หลัง IPO จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ บริษัท ร่วมชัยกิจ จำกัด ถือหุ้น 49.24%  กลุ่มครอบครัวมงคลศรีสวัสดิ ถือหุ้น 10.11% และกลุ่มครอบครัววงค์ธนานันท์ ถือหุ้น 3.89% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว

ขณะที่บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 10 บริษัทหลักทรัพย์ ประเมินกรอบราคาเหมาะสม STECH อยู่ที่ 3.22 – 3.93  บาทต่อหุ้น ซึ่งยังไม่นับรวมโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ในอนาคต

นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า มั่นใจ STECH จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ในวันเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยโอกาสในการเติบโตของบริษัทฯ และการขยายธุรกิจแบบ Growth Stock พร้อมด้วยนโยบายการจ่ายปันผลที่ดีในอัตราไม่ต่ำกว่า 40%

ขณะที่ผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561 – 2563) กำไรสุทธิเติบโตขึ้นชัดเจน อยู่ที่ 85.74 ล้านบาท 93.23 ล้านบาท และ 140.60 ล้านบาทตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.75%  5.44% และ 9.07% ตามลำดับ แม้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ไม่ได้เป็นปัจจัยลบต่อบริษัทฯ มากนัก เนื่องจาก โรงงานยังเดินหน้าผลิตสินค้า เพื่อสนับสนุนความต้องการใช้คอนกรีตอัดแรงในการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ และนโยบายภาครัฐ จะเป็นปัจจัยเร่งสนับสนุนให้ STECH มีงานในมือที่แข็งแกร่ง และเติบโตในอนาคต

Back to top button