“ฟินันเซีย” แนะถือ GFPT มองปี 65 ฟื้นแรง กำไรโต 60% แตะ 1.15 พันลบ.

“ฟินันเซีย ไซรัส” แนะนำ “ถือ” หุ้น GFPT ราคาเป้าหมาย 14 บาท มองผลงานปี 2565 ฟื้นตัวแรง กำไรสุทธิโต 60% แตะ 1.15 พันล้านบาท


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้น บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT โดยระยะสั้นคาดกำไรไตรมาส 3/64 อาจยังฟื้นตัวช้าลุ้นให้ทรงตัวจากไตรมาสก่อนได้อยู่ที่ระดับ 180 ล้านบาท (จะลดลงจาก 342 ล้านบาทในไตรมาส 3/63) จาก COVID-19 ระลอกใหม่

พร้อมคาดปริมาณขาย ส่งออกยังค่อนไปในทางทรงตัว, ปริมาณขายในประเทศน่าจะอ่อนตัวลงตาม มาตรการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นในเดือน ก.ค.-ส.ค. และปริมาณขาย Indirect Export น่าจะอ่อนลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย จาก McKey เร่งซื้อไปมากในไตรมาส 2/64

ขณะที่ต้นทุน วัตถุดิบยังทรงตัวสูง แม้ราคากากถั่วเหลืองตลาดโลกและในประเทศจะเริ่มอ่อนลงเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เฉลี่ยเท่ากับ US$353.7 ต่อตัน (-11.5% จากไตรมาสก่อน) และ 18.6 บาท/กก. (-3.5% จากไตรมาสก่อน) ตามลำดับ แต่บริษัทยังมีสต็อกราคาสูงใช้อยู่ กอปรกับราคาข้าวโพดยังปรับขึ้น เป็น 10-11 บาท/กก. จาก 9.45 บาท/กก. ในไตรมาส 2/64 จึงยังกดดันอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/64 และคาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจะลดลงเพราะมองว่า GFN น่าจะขาดทุนมากขึ้นจาก -6 ล้านบาท ในไตรมาส 2/64 เพราะราคาไก่ปรับลงเหลือ 30-31 บาท/กก. จาก 33 บาท/กก. ในไตรมาส 2/64 และราคาชิ้นส่วนไก่อ่อนตัวลง

อย่างไรก็ตาม คาดหวังกำไรกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 จากหลายปัจจัย อาทิ 1. สถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลายในไทยและหลายประเทศ น่าจะช่วยหนุนให้ปริมาณขายกลับมาฟื้นทั้งในประเทศและส่งออก 2. หากความต้องการบริโภคดีขึ้น คาดราคาไก่และชิ้นส่วนไก่ น่าจะฟื้นตัวในทิศทางเดียวกัน 3. แรงกดดันด้านต้นทุนวัตถุดิบจะเริ่มคลี่คลาย หลังต้นทุนถั่วเหลืองเริ่มถูกลง และคาดราคาข้าวโพดจะอ่อนตัวลงในเดือน ต.ค. เมื่อ ผลผลิตฤดูกาลใหม่ทยอยออกมา

และ 4. บริษัทจะเริ่ม Commercial Run สายการผลิตไก่ปรุงสุกอีก 3 สายใหม่ภายในเดือน ก.ย. นี้ (หลังถูกเลื่อนมาจากเดือน ก.ค.-ส.ค.) และจะครบ 5 สายการผลิตกำลังการผลิตรวม 2,500 ตันต่อเดือน ดีขึ้นกว่า 5 สายเดิมก่อนไฟไหม้ที่มีกำลังการผลิตรวม 2,000 ตันต่อเดือน น่าจะเข้ามารองรับ คำสั่งซื้อที่จะดีขึ้นในไตรมาส 4/64 และต่อเนื่องในปี 2565

อย่างไรก็ตาม ยังเหลือปัจจัยลบ จากแนวโน้มต้นทุนค่าขนส่งที่ยังอยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งหลังของปี 64 – ช่วงครึ่งแรกของปี 65 ซึ่งคาดจะเริ่มอ่อนลงในช่วงกลางปี 2565 เป็นต้นไป

ดังนั้น ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2564 ลดลง -34.6% จากปีก่อน และจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2565 ราว +60.1% จากปีก่อน เป็น 1,153 ล้านบาท ถือเป็นระดับใกล้เคียงปี 2562 และคงราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 14 บาท (อิง PE เดิมที่ 15 เท่า)

Back to top button