SCB ขึ้นโฮลดิ้ง! แตกลูกพ่วงพันธมิตร สร้างมูลค่าเพิ่ม ตั้งเป้ามาร์เก็ตแคป 1 ล้านล.ใน 5 ปี

SCB ขึ้นโฮลดิ้ง! ดันลูกเป็นเอกเทศ - สร้างธุรกิจใหม่เติมมูลค่า ตั้งเป้าดันมาร์เก็ตแคปแตะระดับ 1 ล้านล้านบาทภายในปี 2568


นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า ธนาคารจะมีการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยการจัดตั้งโฮลดิ้งส์ภายใต้ชื่อ SCBX (เอสซีบี เอกซ์) เพิ่มความคล่องตัวและขีดความสามารถในการแข่งขัน มุ่งสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินระดับภูมิภาคสร้างบริษัทสู่หลากธุรกิจการเงินและแพลตฟอร์ม วางรากฐานรองรับบริบทใหม่ของโลก

หลังจากสามปีนี้ SCB จะไม่เท่ากับธนาคารอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีธุรกิจการเงินและแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี (technology platform) ที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภคและสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในระดับโลกได้อย่างทัดเทียม เพื่อสร้างมูลค่าใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นทดแทนธุรกิจธนาคารที่อาจจะมีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที” นายอาทิตย์ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ SCB อนุมัติแผนปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจทางการเงินและการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น โดยธนาคารจัดตั้ง บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) หรือปัจจุบันใช้ชื่อว่า บมจ.ไทยพาณิชย์ โฮลดิ้งส์ ซึ่งอยู่ระหว่างการเปลี่ยนชื่อเป็น SCBX ซึ่งจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของธนาคารจากผู้ถือหุ้น ด้วยการออกและเสนอขายหุ้นามัญเพิ่มทุนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคาร (Share Swap) ในอัตราการแลกเท่ากับ 1 หุ้นสามัญของธนาคารต่อ 1 หุ้นสามัญของ SCBX และ 1 หุ้นบุริมสิทธิของธนาคารต่อ 1 หุ้นของ SCBX

โดยในการทำคำเสนอซื้อดังกล่าว SCB จะยกเลิกคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ หากจำนวนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายมีจำนวนน้อยกว่า 90% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของธนาคาร และภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของธนาคารเสร็จสิ้น หลักทรัพย์ของ SCBX จะเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแทน SCB ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันเดียวกัน

พร้อมกันนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการ SCB ยังอนุมัติการโอนย้ายบริษัทย่อยและการโอนธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจ สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น ให้แก่ SCBX หรือบริษัทย่อยของ SCBX โดย ธนาคารประมาณการว่ามูลค่ารวมของการโอนย้ายบริษัทย่อยจะอยู่ที่ประมาณ 19,504 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี ธนาคารจะโอนธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน (อันได้แก่ ทรัพย์สิน หนี้สิน และสิทธิ เรียกร้องใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน) ให้แก่บริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ของ SCBX โดย SCBX จะถือหุ้นในบริษัทย่อยดังกล่าวเกือบทั้งสิ้น (ร้อยละ 99.99) หรือ Card X เพื่อมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน

โดยในส่วนของสิทธิเรียกร้องที่ เป็นคดีความ และสิทธิเรียกร้องที่ค้างชำระที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มี หลักประกันนั้น ธนาคารจะโอนให้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งจะถูกจัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทย่อยของ Card X (โดย Card X จะถือหุ้นในบริษัทย่อยดังกล่าวเกือบทั้งสิ้น) ทั้งนี้ การโอนธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่ มีหลักประกัน รวมถึงการจัดตั้ง CardX และบริษัทบริหารสินทรัพย์ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างการ ถือหุ้นของธนาคาร

นอกจากนั้น คณะกรรมการธนาคารยังอนุมัติหลักการที่จะให้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสุทธิประจำปี และกำไรสะสมตามงบการเงินเฉพาะล่าสุดของธนาคารประมาณ 70,000 ล้านบาท ให้แก่ SCBX และผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ โดยธนาคารคาดว่าเงินปันผลส่วนใหญ่ที่ธนาคารจะจ่ายให้กับ SCBX จะถูกใช้เพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับการรับโอนบริษัท ย่อยและธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และ เป็นเงินลงทุนสำหรับ SCBX ในการขยายธุรกิจในอนาคต รวมทั้งเพื่อเป็นเงินปันผลที่ SCBX จะพิจารณาจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นภายหลังการแลกหุ้น

ส่วนในการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งนี้จะทำให้เงินกองทุนของธนาคารลดลง แต่จะยังมี ระดับเงินกองทุนที่เพียงพอให้ธนาคารดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง และจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทาง การเงินของธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ธนาคารได้ดำเนินการแต่งตั้ง บล.เกียรตินาคินภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อทำหน้าที่ให้ความเห็นแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร โดยได้พิจารณากำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 ในวันที่ 6 ต.ค.64

นายอาทิตย์ กล่าวเพิ่มว่า ปี 68 จะเป็นการมาถึงของ decentralized finance technology การขยายตัวและการบุกของแพลตฟอร์มระดับโลกเข้าสู่ธุรกิจการเงิน พฤติกรรมของผู้บริโภคหลังโควิด (post-covid) รวมถึงกฎระเบียบข้อบังคับที่เปลี่ยนไปอย่างมาก จะทำให้รูปแบบการทำธุรกิจ (business model) ในแบบ intermediaries  หรือการเป็นตัวกลางเก็บค่าธรรมเนียมของธนาคารแบบดั้งเดิมจะลดบทบาทลง เพราะจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังใหม่ของผู้บริโภคได้ ความสำคัญของธนาคารต่อผู้บริโภคจะลดลงและจะส่งผลลบต่อการให้มูลค่าอนาคตของนักลงทุนต่อธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับแนวโน้มของการถูก disrupt นั้นเริ่มมาเมื่อหกปีก่อนและชัดเจนมากในอีกสามปีข้างหน้า SCB ได้ตั้งโจทย์และเพิ่มศักยภาพตัวเองมาโดยตลอด และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่สำคัญที่สุดในการตั้งคำถามแห่งอนาคตว่าในช่วงเวลาสามปีจากนี้ที่เข้มข้นที่สุด SCB จะต้องแปลงสภาพตัวเองอย่างไรจึงจะสามารถสร้างคุณค่าใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นและผู้บริโภค รวมถึงสามารถเติบโตไปกับโลกใหม่ได้

ดังนั้น SCB จึงจะต้องไม่จำกัดตัวเองอยู่ที่ธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอีกต่อไป หากแต่ต้องใช้ความเข้มแข็งทางการเงินของธุรกิจธนาคารปัจจุบันให้เป็นประโยชน์ เร่งขยายธุรกิจเชิงรุกเข้าสู่ธุรกิจการเงินประเภทอื่นที่ตลาดต้องการ และสร้างขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยี รวมถึงการบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี (technology platform) ขนาดใหญ่ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งระดับโลก เข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วเพื่อที่จะอยู่รอดปลอดภัยในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้

โดยกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งธนาคารควบคู่ไปกับการสร้างธุรกิจใหม่สำหรับอนาคตนั้น ในส่วนของธนาคารจะมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับการปรับลดกระบวนการขั้นตอนต่างๆให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปให้มากที่สุดในทุกช่องทาง  ธนาคารจะเน้นความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าเป็นที่ตั้ง

นายอาทิตย์ กล่าวว่า SCB จะไม่เท่ากับธนาคารในความหมายเดิมอีก แต่จะแปลงสภาพกลายเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินที่มีธุรกิจธนาคารที่แข็งแรงขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และจะขยายเข้าสู่ธุรกิจการเงินส่วนบุคคลที่มีการเติบโตสูงที่ธนาคารไม่สามารถตอบสนองได้ โดยแต่ละธุรกิจ SCB จะร่วมมือกับพันธมิตรระดับประเทศและระดับภูมิภาคที่แข็งแกร่งที่จะเริ่มเปิดตัวในอนาคตอันใกล้นี้

นอกจากการขยายเข้าสู่ธุรกิจการเงินส่วนบุคคลแล้ว SCB จะต้องยกระดับขีดความสามารถของกลุ่มในการสามารถสร้างและบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (technology platform) หลังจากนำร่องด้วย “โรบินฮู้ด ฟู้ดเดลิเวอรี” เป็นโครงการแรก เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มระดับโลก และได้สร้างขีดความสามารถของบุคลากรด้านเทคโนโลยี โดยเริ่มจากการก่อตั้งบริษัท “SCB Tech X” และบริษัท “Data X” ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อสร้างขีดความสามารถพื้นฐานด้านเทคโนโลยีภายในที่จะสามารถสร้างและ scale platform ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

โดยนอกจากนั้น SCB จะขยายเข้าสู่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset business) ในระดับโลกเพื่อเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตผ่าน SCB 10X และ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) โดยการร่วมลงทุนและเป็นพันธมิตรกองทุนระดับโลก และการพัฒนาธุรกิจ digital asset ด้านต่างๆ ใน business model ใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มในระยะยาว

ในปี 68 ความคาดหวังของ SCB  คือ การสามารถสร้างมูลค่าของบริษัทจากธุรกิจใหม่ให้มีขนาดที่มีนัยสำคัญนอกเหนือจากผลกำไรพื้นฐานและความมั่นคงของธุรกิจธนาคารหลัก  ซึ่งรวมถึงการสร้างฐานลูกค้าในระบบให้ได้ถึง 200 ล้านคน  การขยายธุรกิจใหม่ออกสู่ต่างประเทศ และการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี (technology platform) ขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก” นายอาทิตย์ กล่าว

สำหรับการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในครั้งนี้เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจในภาพรวมผ่านการจัดตั้งบริษัทใหม่ที่ธนาคารเรียกว่าเป็น “ยานแม่” หรือ “Mother hood” ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ คือ เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) ซึ่งจะเป็นบริษัทใหม่ที่ธนาคารจะเปลี่ยนเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแทนธนาคารไทยพาณิชย์ (SCBX) ซึ่งเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดจากกฎระเบียบแบบเดิมที่ธนาคารทำไม่ได้ ทำให้การดำเนินธุรกิจมีความคล่องตัวมากขึ้น และสามารถลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ต่อยอดการเติบโตได้

ขณะที่การปรับโครงสร้างธุรกิจมาเป็น SCBX ในครั้งนี้ ตามแผนงาน 5 ปีที่ตั้งไว้ถึงปี 68 จะตั้งเป้าขึ้นเป็นบริษัทในระดับภูมิภาคและนานาชาติ ซึ่งจะครอบคลุมการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 200 ล้านราย สามารถผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า (Quality Earning 2X) และผลักดันมูลค่าหลักทรัพย์ในตลาด (Market Cap) ของ SCBX แตะ 1 ล้านล้านบาทภายในปี 68

ด้านการต่อยอดการเติบโตของธุรกิจภายใต้การดำเนินการของ SCBX จะมีการนำธุรกิจในเครือของ SCB เข้าไปจัดตั้งบริษัทย่อยต่างๆราว 15-16 บริษัท เพื่อให้มีการบริหารงานที่คล่องตัวมากขึ้น และสามารถรุกขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ โดยมีทีมผู้บริหารจาก SCB เข้าไปบริหารงานในบริษัทย่อยต่างๆ

– CardX ธุรกิจบัตรเครดิตออกจากบริษัท

– Alpha X เป็นการร่วมมือกับ Millennium Group ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อสำหรับรถหรู

– Auto X ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์

– Tech X ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกทำธุรกิจเทคโนโลยี

– AISCB เป็นการร่วมมือกับ AIS ทำสินเชื่อดิจิทัล

– Robinhood ธุรกิจส่งอาหาร

– CPG-SCB VC Fund ร่วมมือกับเครือซีพี ในการจัดตั้ง VC Fund

รวมถึงธุรกิจอื่นๆที่จะมีการจัดตั้งเพิ่มเติม คือ Data X, SCB Securities, TokenX, SCBABACUS และ monix

ภายในเราเรียกว่าว่าการ Re-imagine เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดของการเป็นธนาคาร ทำให้เราสามารถก้าวไปสุ่การเติบโตในโลกยุคใหม่ได้ สามารถขึ้นเป็นบริษัทระดับ Reginal และ International สร้างการเติบโตของ Earning ที่มีคุณภาพ เป็นก้าวใหม่ของ SCB ที่จะเดินหน้าปรับเปลี่ยนเพื่อการเติบโตในอนาคต” นายอาทิตย์ กล่าว

ขณะที่ในส่วนของ SCBX แม้ว่าจะเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ แต่ยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีธุรกิจในเครือที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงิน แต่ในส่วนของใบอนุญาตต่างๆทางบริษัทในเครือจะเป็นผู้ขอใบอนุญาตในการดำเนินกิจการ ไม่เกี่ยวข้องกับ SCBX และในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ลูกค้ายังคงใช้บริการเงินฝาก สินเชื่อ และบริการอื่นๆ ยังคงมีการบริการลูกค้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการรีแบรนด์ธนาคารไทยพาณิชย์ใหม่

แบงก์ SCB ยังไม่หายไปไหน ยังคงเป็นธนาคารที่ให้บริการลูกค้าเหมือนเดิม ลัญลักษณ์ใบโพธิ์ และฐานปฏิบัติการของแบงก์ก็ยังเหมือนเดิม ลูกค้ามั่นใจในการใช้บริการได้เหมือนเดิม บริการต่างๆที่ลูกค้าทำก็ยังคงใช้บริการได้ปกติ” นายอาทิตย์ กล่าว

Back to top button