
“กรุงศรี” ชี้เฟดผ่อนคลายแรง หนุนหุ้นไทยฟื้นต่อ แนะลงทุน Domestic–China Plays
“บล.กรุงศรี” มองเฟดเข้าสู่โหมดผ่อนคลายนโยบายการเงินเต็มรูปแบบ “Uber Dovish” หลังลดดอกเบี้ย 0.25% และหยุด QT ก่อนคาด หนุนบรรยากาศลงทุนตลาดหุ้นไทย-เอเชีย “ฟื้นตัวต่อเนื่อง” แนะเก็งกำไรหุ้น Domestic–China Plays กลุ่มปิโตรเคมี, ICT, พลังงาน
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ (30 ต.ค.68) ระบุว่า ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมติ “ลดอัตราดอกเบี้ย” ลง 0.25 จุด หรือ 25 basis points ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า
โดยผลการประชุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นเอกฉันท์ คือ มติ 10–2 เสียง เนื่องจากกรรมการบางส่วนต้องการคงอัตราดอกเบี้ยไว้เพราะกังวลเงินเฟ้อ ขณะที่บางส่วนเสนอให้ลดแรงในระดับ “Jumbo Cut” ถึง 50 basis points แต่การพิจารณาการเงินไม่จำเป็นต้องใช้เสียงทั้งหมด
ขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธานเฟด ย้ำว่า การตัดสินใจนโยบายการเงินไม่จำเป็นต้องเป็นเอกฉันท์ เพราะฉะนั้นมีแนวโน้มเปิดกว้างต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในรอบถัดไป ทั้งนี้จุดเปลี่ยนสำคัญคือการประกาศ “หยุดมาตรการดูดสภาพคล่อง (Quantitative Tightening: QT)” เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ หลังเฟดลดขนาดงบดุลลงแล้วกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยให้เหตุผลว่าระบบการเงินเริ่มเผชิญความเสี่ยงด้านเครดิตและสภาพคล่องตึงตัว
บล.กรุงศรี ประเมินว่า โดยการหยุด QT ถือเป็นสัญญาณว่าเฟดกำลังเข้าสู่เฟสผ่อนคลายนโยบายการเงินเต็มรูปแบบ หรือที่นักลงทุนเรียกว่า “Uber Dovish”
อย่างไรก็ตาม “พาวเวลล์” ได้เตือนตลาดระหว่างการแถลงข่าวว่า ยังไม่มั่นใจว่าการประชุมเดือนธันวาคมจะมีการลดดอกเบี้ยอีกครั้งหรือไม่ ตรงนี้มองว่า FED ไม่ต้องการให้ความคาดหวังตลาดผ่อนคลายมากเกินไป และไม่ต้องการให้ตลาดคาดการณ์ได้ง่ายเกินไปว่าดอกเบี้ยจะลงแน่ๆ การใช้ถ้อยคำที่ระมัดระวังเป็นการควบคุม และประคองความเสี่ยงของสหรัฐฯ และป้องกันไม่ให้เกิดการเล่นเก็งกำไรที่ร้อนแรงเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของภาวะฟองสบู่ (Bubble) ในอนาคต แม้ว่าทิศทางในภาพรวมชี้สู่ภาวะดอกเบี้ยขาลง โดยคาดว่าเฟดอาจเริ่มทำ “มินิ QE” ผ่านโครงการ Flexible Reserve Process ในปี 2569 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านการซื้อพันธบัตรระยะสั้น
นอกจากนี้มองว่า โทนของผลการประชุมคือ Uber Dovish ซึ่งทำให้นักลงทุนในเอเชียส่วนใหญ่จะตอบรับในโทนที่เป็นกลางบวก ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหาและดอกเบี้ยต่ำ ถือเป็น โอกาสทอง ที่ประเทศควรใช้ช่วงเวลานี้ในการวางโครงสร้าง (Infrastructure) และดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาให้มากที่สุด เพื่อยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจ
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยนักวิเคราะห์มองว่า นโยบายผ่อนคลายของเฟดจะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในช่วง “ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง” แม้ระยะสั้นอาจเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ
โดยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเทคโนโลยี (Tech Relative) อาจอ่อนตัวชั่วคราว หลังจากหุ้นเทคในสหรัฐฯ ถูกขายทำกำไร ภายหลังพาวเวลล์ออกมาหยุดกระแสคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง
ส่วนการพักฐานของหุ้นเทคเปิดโอกาสให้หุ้น Domestic หรือหุ้นที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งมีโอกาศฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะธีม China Plays เน้นกลุ่มปิโตรเคมี: เช่น PTTGC และ IVL ซึ่งได้โอกาสนี้มีแรงหนุนจากการที่ผู้กำหนดนโยบายของจีนมีความเอาจริงมาก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อยกระดับศักยภาพการผลิตและหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด โดยรัฐบาลจีนได้ดึงผู้ประกอบการปิโตรเคมีมาหารือเพิ่มเติม
ด้านกลุ่มEarning เติบโตดีต่อเนื่อง ได้แก่ ICT เช่น ADVANC และกลุ่มโรงไฟฟ้าได้แก่ GULF นอกจากนี้หุ้ที่ตลาดประเมินผลประกอบการแบบ Conservative อาจมีผลจริงดีกว่าคาด และมีโอกาสได้รับการอัปเกรดประมาณการ เช่น กลุ่มธนาคารที่ผ่านมา
ส่วนธี BANPU แม้ว่าจะไม่ได้มีทำ Coverage หุ้นตัวนี้โดยตรง แต่ประเด็นการปรับโครงสร้างตรงนี้มอว่าตลาดโลกเริ่มมีการทำ M&A และ Re-structure กันอย่างเข้มข้นขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร นอกจากนี้มีประเด็นที่น่าสนใจในหุ้นรายนี้มีโอกาสจากแร่ Rare Earth เป็นธีมที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนคือโอกาสในการสกัด Rare Earth (ซึ่งสหรัฐฯต้องการ) จากถ่านหิน เนื่องจากมีการตั้งข้อสังเกตว่าประเทศอื่น ๆ เช่น ออสเตรเลียและจีน สามารถสกัดได้ หากมีการสำรวจเชิงลึกและมีการผลิตเชิงพาณิชย์ได้จริงในไทยก็จะเปิดโอกาสด้านการผลิตและการค้า
สำหรับหุ้น BANPU แม้ไม่ได้อยู่ใน Coverage ของบล.กรุงศรี แต่เห็นว่าการปรับโครงสร้างภายในสอดคล้องกับเทรนด์โลกที่หลายบริษัทดำเนินการ M&A และ Re-structure เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีธีมที่น่าจับตาเรื่องการสกัดแร่ Rare Earth จากถ่านหิน ซึ่งหากประเทศไทยสามารถสำรวจและผลิตเชิงพาณิชย์ได้จริง จะเป็นโอกาสใหม่ด้านการผลิตและการค้าในอนาคต เนื่องจากมีการตั้งข้อสังเกตว่าประเทศอื่น ๆ เช่น ออสเตรเลียและจีน สามารถสกัดได้

