“ฟินันเซียฯ” แนะถือ CPW เป้า 4.10 บ. ลุ้นปีนี้กำไร 79 ลบ. ยอดขายออนไลน์หนุน

“ฟินันเซียฯ” แนะนำ “ถือ” CPW ชูเป้า 4.10 บ. คาดยอดขายออนไลน์หนุน ดันกำไรปีนี้แตะ 79 ลบ. ส่วนกำไรปี 65 เป็น 112 ลบ. จากการรับรู้รายได้ IBIZ Plus เต็มปี


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (28 ต.ค. 2564) โดยประเมินเกี่ยวกับบริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW ว่า ทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรปกติไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 5.40 ล้านบาท ลดลง21.60% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 66.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ลดลงจากไตรมาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาล แต่ยังเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนได้ แม้จะโดนมาตรการล๊อคดาวน์จาก COVID-19 ทำให้ต้องปิดร้านค้า iStudio และ .life ในห้างสรรพสินค้าเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ซึ่งร้านค้าของ CPW ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม จึงจำเป็นต้องปิดร้านไปกว่า 75% ของจำนวนร้านค้าทั้งหมด กระทบกับผลประกอบการ CPW อย่างมีนัยส่วนช่องทางออนไลน์มีสัดส่วนยอดขายถึง 20% ในไตรมาส 3/2564 เพิ่มขึ้นจาก 4.70% ในไตรมาส 1/2564

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2564 ไว้ที่ 79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ปรับกำไรปี 2565 ขึ้น 14.30% เป็น 112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.90% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้รายได้ IBIZ Plus เต็มปี และมาร์จิ้นที่ดีขึ้นหลังควบรวม โดยคาดมีอัตราการเติบโตของกำไรโดยรวม CAGR (2021 2024) ที่ 27.90%

ทั้งนี้ IBIZ Plus จะถูกรวมในงบการเงินตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 เป็นต้นไป จากรายงานการวิเคราะห์สถานะการเงิน โดยบริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย ที่ปรึกษาธุรกิจ จำกัด (KPMG) ระบุว่า IBIZ Plus มีรายได้ปี 2563 อยู่ที่ 1,715 ล้านบาท และมีผลขาดทุน 0.10 ล้านบาท ซึ่งทำธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้า IT มีทั้งหมด 56 ร้าน ประกอบด้วย AIS Shop 14 ร้าน, AIS Telewiz 11 ร้าน, AIS Buddy 3 ร้าน, Samsung 20 ร้าน, และ Xiaomi 8 ร้าน

โดยฝ่ายวิจัยมองบวกต่อ CPW ดังนี้ (1) กำไรโดยรวมที่เพิ่มขึ้น มาจากมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นของรายได้ในส่วน IBIZ Plus จากทั้งเรื่องการจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ตลอดจนใช้ประโยชน์จาก Economies of Scale จากปริมาณออเดอร์การสั่งที่มากขึ้น เป็นต้น (2)  ลดความเสี่ยงเรื่องพึ่งพิงยอดขายจากสินค้าแบรนด์ Apple มากเกินไป และเรื่องจำนวนร้านค้ากระจุกตัวแต่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล (3) เพิ่มอำนาจการต่อรองโดยรวมจากขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น

สำหรับในแง่ของการประเมินมูลค่า ยังคง Target PE 22 เท่า ไว้คงเดิมซึ่งใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 2 Year PE ของกลุ่มสินค้า IT แต่ปรับใช้กำไรปี 2565 แทน ซึ่งได้ราคาเป้าหมายใหม่ 4.10 บาท (ค่า PE ปี 2565 ที่ 22 เท่า, PEG ปี 2565 ที่ 0.80 เท่า) ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าเป้าหมายส่วนใหญ่ที่ทางฝ่ายวิจัยให้แล้ว จึงแนะนำเพียง “ถือ”

 

 

Back to top button