เปิด 5 อันดับหุ้น SET100 “พุ่ง-ร่วง” รอบสัปดาห์! JMART นำทีมฟันรีเทิร์นสูง 11%

เปิด 5 อันดับหุ้น SET100 ราคาพุ่ง-ร่วงแรงสัปดาห์ก่อน! JMART นำทีมฟันรีเทิร์นสูงสุด 11%


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลราคาหุ้นกลุ่ม SET100 ที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงและราคาลดลงแรงสัปดาห์ก่อน โดยอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ซึ่งได้เปรียบข้อมูลราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 5 พ.ย.-12 พ.ย.2564 โดยได้คัดเลือกมา 5 อันดับแรกของกลุ่มที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวตามตารางประกอบ

โดยกลุ่มหุ้น SET100 ราคาปรับตัวขึ้นแรงสัปดาห์ก่อน 5 อันแรก ประกอบด้วย บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART, บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT, บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS, บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM

ส่วนหุ้น SET00 ราคาปรับตัวลงแรงสัปดาห์ก่อน 5 อันดับแรกประกอบด้วย บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL, บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ตามตารางประกอบ และจะขอยกตัวอย่างหุ้นอันแรกราคาหุ้นวิ่งแรงและลดลงลงแรงดังนี้

สำหรับอันดับ 1 ราคาปรับตัวขึ้นแรงสัปดาห์ก่อนคือ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 11% จากระดับ 40.75 บาท ณ วันที่ 5 พ.ย. มาอยู่ที่ระดับ 45.25 บาท ณ วันที่ 12 พ.ย.2564 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงจากผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ประกาศออกมาโดดเด่นและคาดหนุนผลงานไตรมาส 4/2564 และทั้งปีเติบโตต่อเนื่อง

โดย JMART แจ้งผลประกอบการงวด ไตรมาสที่ 3/2564 มีกำไรสุทธิ 269.93 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่มีกำไร 261.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.44% และงวด 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน 2564) มีกำไรสุทธิแตะ 835.64 ล้านบาท โตแกร่ง 59% จากปีก่อนกำไร 526.79 ล้านบาท

ทั้งนี้ สำหรับงวด 9 เดือนที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเติบโตขึ้น เกิดจากการเติบโตของธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และการเติบโตของบริษัทร่วม คือ บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ  SINGER ซึ่งมีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น รวมถึงการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ในธุรกิจหลักอื่น ๆ เช่น ธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือภายใต้การบริหารของ เจมาร์ท โมบาย ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าของ เจเอเอส แอสเซ็ท ทำให้บริษัทย่อยในธุรกิจค้าปลีก ยังคงมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ดี

อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวม 1,319.5 ล้านบาท ลดลง 329.2 ล้านบาท หรือลดลงในอัตราร้อยละ 20 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าเช่า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย และสำรองหนี้ด้อยคุณภาพ เนื่องจากไม่ต้องจัดทำงบการเงินรวมกับ KB J Capital

บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  มีมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ JMART ไตรมาสที่ 4/2564 คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ได้ปัจจัยหนุนจากการเติบโตหลักมาจากบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT และ SINGER  โดยคงประมาณการกำไรสุทธิของ  JMART ปี 2564 ที่ 1.2 พันล้านบาท  เพิ่มขึ้น 60%  และ ในปี 2565 กำไรสุทธิ ที่ 1.86 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น  45%

ขณะที่นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เผยว่า การเพิ่มทุนจาก บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS อยู่ในขั้นตอนการทำเอกสารกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยการเพิ่มทุนของ JMT จะเป็นช่วงกลางเดือนธันวาคม ส่วนของ JMART จะเป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้

การเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะแบ่งออกเป็น 3 บริษัทในกลุ่ม JMART คือ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI กับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ U จะเพิ่มทุนเฉพาะเจาะจง (PP : Private Placement) มาที่ JMART ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ได้จากการ PP JMART จะนำเงินไปเพิ่มทุนใน JMT กับ SINGER ซึ่งมีการประกาศเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO : Right Offering) โดย JMART จะเพิ่มที่ JMT ประมาณ 5,000 ล้านบาท และเพิ่มที่ SINGER ประมาณ 1,400 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเตรียมไว้ชำระคืนหนี้ในอนาคต

สำหรับเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนครั้งนี้ทาง JMT จะนำไปซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ โดยที่ JMT จะได้รับเงินอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท เพราะมองว่าโอกาสในการซื้อหนี้ปีหน้า ปริมาณหนี้จะมีมากขึ้น รวมถึงนำไปชำระเงินกู้ ขณะที่ SINGER จะนำไปปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเพิ่มเติม ซึ่ง SINGER จะมี PP มาจากยู ซิตี้ และ RO จากผู้ถือหุ้นเดิม รวม ๆ แล้วประมาณ 11,000 ล้านบาท โดยจะแบ่ง 70% ไปใช้ในการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ แล้วอีกส่วนจะใช้ในการชำระคืนหนี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีแผนที่จะ synergy ร่วมกับ BTS ในอนาคต ซึ่งจะมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขายของร่วมกัน การใช้ข้อมูลในเชิงธุรกิจร่วมกัน ในการทำ synergy ร่วมกันในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะสร้างเป็นธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในปี 2565

 

สำหรับอันดับ 1 ราคาร่วงแรงสัปดาห์ก่อนคือ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL โดยราคาหุ้นปรับตัวลง 12.6% จากระดับ 5.40 บาท ณ วันที่ 5 พ.ย. มาอยู่ที่ระดับ  4.72 บาท ณ วันที่ 12 พ.ย.2564 โดยราคาหุ้นปรับตัวลงทุนเป็นผลมาจากในสัปดาห์ก่อนนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากกังวลต้นทุนราคาเชื้อเพลิงที่ทรงตัวระดับสูง

ประกอบกับประกาศงบไตรมาส 3/2564 ออกมามีกำไรลดลง 41% มาอยู่ที่ 589.17 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,001.25 ล้านบาท โดยบริษัทฯมีรายได้รวมสำหรับงวด 3 เดือนจำนวน 2,673.20 ล้านบาท ลดลงจำนวน 715.26 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 21.11 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่  3,388.45 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามงวด 9 เดือนปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.72 พันล้านบาท โต 0.11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.71 พันล้านบาทโดยบริษัทฯมีรายได้รวมสำหรับงวด 9 เดือนจำนวน 6,977.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 158.38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.32 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่จำนวน 6,819.09 ล้านบาท

ด้านดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GUNKUL เปิดเผย แนวโน้มธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโอกาสได้รับงานโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

โดยยังมีข่าวดีให้ลุ้นจากการเข้าร่วมประมูลงานรับเหมาและวางระบบทางด้านวิศวกรรม (EPC) โดยผ่านบริษัท ฟิวเจอร์ อีเล็คทริคอล คอนโทรล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย อีก 4-5 โครงการ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน เป็นงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้า งานระบบไฟฟ้า งานก่อสร้างสายส่งบนดินและใต้ดิน

ซึ่งมีโอกาสได้งานไม่น้อยกว่า 25% จากมูลค่างานที่ร่วมประมูลกว่า 5,000 ล้านบาท อีกทั้งยังรอรับรู้รายได้จากงาน EPC ในมือ (Backlog) ประมาณ 7,500-10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้มีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติมอีก คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาทในปีนี้ โดยคาดว่าจะได้งานประมาณ 15-20 % ซึ่งจะหนุนรายได้ปีนี้เติบโตได้ตามแผน

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button