SCB CIO ชี้ช่องจัดพอร์ตลงทุน เน้นหุ้นสหรัฐ-ยุโรป-Tech จีน

SCB CIO ชี้ช่องจัดพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก เน้น Techจีน-หุ้นสหรัฐ-ยุโรป-เวียดนาม มั่นใจระยะยาวสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังกลับมาเปิดเมือง ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีน เน้นการลงทุนกลุ่ม Tech เนื่องด้วยมูลค่าถูกและความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของรัฐเลยจุดสูงสุดไปแล้ว


ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโสธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Chief Investment Office (CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนปลายปีนี้ในสินทรัพย์ทั่วโลก เน้นหุ้นสหรัฐ ยุโรป เวียดนาม และ Tech จีน มั่นใจระยะยาวมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยตลาดหุ้นสหรัฐ และยุโรป ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง การประกาศทำการลดการเข้าซื้อพันธบัตรตามที่ตลาดคาด (QE taper without tantrum) และตลาดแรงงานสหรัฐฯ ฟื้นตัวดีขึ้นมากรวมถึงอัตราเงินเฟ้อสูง มีแนวโน้มยืดเยื้อจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่มีวิกฤต COVID-19

ส่วนในช่วงกลางปี 2565 อย่างไรก็ตาม Fed จะมีการส่งสัญญาณให้ตลาดทราบก่อน สำหรับตลาดหุ้นในกลุ่ม Emerging Markets มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนาม ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังมีการกลับมาเปิดเมืองและภาคการส่งออกยังคงเติบโตแข็งแกร่ง สำหรับตลาดหุ้นจีนยังคงมีมุมมอง neutral โดยเน้นการลงทุนในกลุ่ม tech ด้วยมูลค่าที่ถูกและความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ภาครัฐ (Regulatory risks) ที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว

ทั้งนี้  SCB CIO ประเมินหลังธนาคารกลางหลักทยอยประกาศการลดการเข้าซื้อพันธบัตร (QE tapering) ตลาดการเงินโลกจะเริ่มหันมาให้ความสนใจกับประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed มากขึ้น โดยหลังจากเริ่มส่งสัญญาณตั้งแต่ช่วงกลางไตรมาส 3/2021 โดยล่าสุด Fed ประกาศเริ่มทำ QE taper ในช่วงเดือน พ.ย. 2564 และน่าจะเสร็จสิ้นช่วงกลางปี 2565 ซึ่งตรงกับที่ตลาดคาดไว้ แต่ด้วยการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดแรงานในสหรัฐฯ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อสูงที่มีแนวโน้มยืดเยื้อถึงกลางปี 2565 ทำให้ตลาดเริ่มคาดการว่า Fed น่าจะส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด

โดย SCB CIO คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 เป็นอย่างเร็ว ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วในปี 2566 สำหรับการฟื้นตัวในกลุ่มประเทศ ASEAN เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น หลังการเปิดประเทศมีความคืบหน้าในช่วงไตรมาสที่ 4/2564 อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มาจากกำลังซื้อภายในประเทศ เนื่องจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีจำนวนไม่มากนัก โดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งยังคงใช้นโยบาย Zero COVID policy

ดร.กำพล กล่าวต่อไปว่า การขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวแบบค่อยเป็นค่อยไป และผลประกอบการที่แข็งแกร่งในตลาด DM ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักสำหรับหุ้นในกลุ่ม quality growth ตลาดพันธบัตร priced-in ประเด็นอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงที่น่าจะยืดเยื้อและการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักที่จะเกิดขึ้นเร็วกว่าคาด ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นขยับขึ้นเร็วกว่าพันธบัตรระยะยาว

รวมไปถึงขนาดโครงการด้าน infrastructure ของประธานาธิบดี Joe Biden น่าจะมีขนาดไม่มากเท่ากับที่เคยประกาศไว้ ทำให้การเก็บภาษีรวมถึงปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาลน่าจะน้อยกว่าที่คาด ทางด้าน SCB CIO ยังคงมุมมองอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ที่ 1.6% -1.8% ช่วงสิ้นปี 2564 โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การเจรจาต่อรองเพดานหนี้สาธารณะในช่วงต้น ธ.ค. ซึ่งคาดว่าจะเป็นในลักษณะ last minute deal

สำหรับประเด็นราคาน้ำมันในตลาดโลก แม้ยังอยู่ในระดับสูงแต่เริ่มมีสัญญาณการชะลอตัวลง หลังปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมัน ปริมาณการผลิตน้ำมัน และปริมาณน้ำมันสำรองในสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว การขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวแบบค่อยเป็นค่อยไป และการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่องทำให้เรายังเน้นการลงทุนในกลุ่มประเทศ DM โดยเฉพาะในกลุ่ม Quality growth อย่างไรก็ตาม ความกังวลประเด็นอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงจะยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดหุ้นทั่วโลก การมีหุ้นในกลุ่ม value ใน portfolio ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเป็นการป้องกันความผันผวนในช่วงที่ bond yields เป็นขาขึ้น

ส่วนกลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก (Asset Allocation Portfolio Strategy) SCB CIO ยังคงมีมุมมองบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป และเวียดนาม รวมถึงแนะนำทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม tech ของจีน

โดยแนะนำเน้นการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป โดยฉพาะหุ้นในกลุ่ม quality growth ที่มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องใน core portfolio โดยมีตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่มีการฟื้นตัวต่อเนื่องหลังเปิดเมือง และผลการเลือกตั้งที่เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้  ใน satellite portfolio

สำหรับความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ภาครัฐที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว รวมถึง valuation ที่น่าสนใจ SCB CIO ได้ปรับมุมมองหุ้นจีน H-share ขึ้นเป็น neutral โดยเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Tech อย่างไรก็ตามกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ยังได้รับแรงกดดันจากความพยายามของภาครัฐที่จะชะลอการเติบโตด้วยการ leverage ในอุตสาหกรรมนี้ สำหรับตลาด A-share ยังคงมุมมอง Neutral จากนโยบายมุ่งเน้นเติบโตจากภายในประเทศของจีน เช่น นโยบาย dual circulation และ common prosperity

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็น Top pick ในตลาดหุ้น ASEAN ในมุมมองของเรา แม้ valuation เริ่มมีการขยับขึ้นมา แต่ในระยะข้างหน้าเชื่อว่าเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดจะเบียนจะมีการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของภาคส่งออกตามเศรษฐกิจโลก ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงน่าจะทำให้การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวต่อเนื่องได้เช่นกัน

ทั้งนี้ จึงปรับมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็น neutral หลังจากที่ได้มีการ priced-in การฟื้นตัวของกำไรในไตรมาส 3/2564 และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่น่าจะช้ากว่าคาด ไปแล้ว ในระยะข้างหน้าเราเชื่อว่าการเปิดเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยทำให้อุปสงค์ในประเทศฟื้นตัวชัดเจนขึ้น

โดยคงมุมมองต่อน้ำมันเป็น neutral  โดยคาดว่าจะมี upside ในช่วงที่เหลือของปีไม่มากนัก จากปัจจัยอุปทานตึงตัวที่ได้ถูก priced-in ไปแล้ว ส่วนทองคำ คงมุมมองเป็น slightly negative จากผลกระทบของ QE tapering

พร้อมกันนี้ ได้ปรับมุมมอง REITs ขึ้นเป็น slightly positive โดย DM REITs มีอัตราการเช่าและค่าเช่ารวมถึงผลประกอบการที่ฟื้นตัวต่อเนื่องและ Asian REITs จะได้อานิสงค์จากการเปิดเมืองที่เริ่มต่อเนื่องมากขึ้น

Back to top button