“ฟินันเซียฯ” ชู 10 หุ้น “ท็อปพิก” ปี 65 รับเศรษฐกิจฟื้น-ดอกเบี้ยขาขึ้นหนุน

“ฟินันเซียฯ” ชู 10 หุ้น “ท็อปพิก” ปี 65 อยู่ในกลุ่ม Domestic และ Reopening Play อย่าง CK, CPALL, CRC, GPSC, JR, JWD, KBANK, MEGA, ORI และ TKS รับปัจจัยบวกเศรษฐกิจฟื้น-ดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลกเข้ามาหนุน


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ธ.ค. 2564) ว่า ทางฝ่ายวิจัยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของ GDP ที่จะเร่งตัวขึ้นในปี 2565 จากทุกๆเครื่องยนต์ ทั้งการบริโภคและการลงทุนที่คาดเร่งตัวอย่างมีนัยยะตั้งแต่ 5.70 – 6.70% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หลังจากผ่านการ Lockdown 2 ครั้งในปี 2564

รวมทั้งความเชื่อมั่นทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การอุปโภคภาครัฐ การส่งออก ยังคงเป็นอีกปัจจัยประคองตัว ด้านสภาพัฒน์และธปท.ได้ประเมินการเติบโตของ GDP ปี 2565 ในกรอบ 3.50 – 4.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตามแม้จะยังมีความเสี่ยงจากการระบาดของโอมิครอนโดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปที่เริ่มแพร่เป็นวงกว้างแต่จากข้อมูลปัจจุบันที่ความรุนแรงของอาการไม่มาก ประกอบกับอัตราการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มของไทยที่สูงถึง 63% และอยู่ระหว่างเร่งฉีดเข็ม 3 อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อและป่วยหนัก ทั้งนี้คาดว่า ความรุนแรงของการระบาดจะไม่น่ากังวลเท่ารอบที่ผ่านๆมา

ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยจึงมีมุมมองบวกต่อกลุ่ม Domestic และ Reopening Play อย่างกลุ่มค้าปลีก ร้านอาหาร ธนาคาร รับเหมา เป็นต้น

สำหรับ Fund Flow หลังจากที่เฟดเริ่มส่งสัญญาณถึงแผนปรับลด QE ช่วงเดือน ก.ย. 2564 ก่อนเริ่มทยอยลดจริงในเดือน พ.ย. โดยรวมไม่ได้ส่งผลให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับที่ทางฝ่ายวิจัยประเมิน และให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่หนุนเม็ดเงินทยอยไหลเข้ามากกว่า ส่วนปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกคือ QT (Quantitative Tightening) หรือ การลดขนาดงบดุลของเฟด ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วในปี 2566 และเร็วเกินไปที่จะกังวล

ภาพโดยรวมทางฝ่ายวิจัยยังคงเป้า SET Index ปี 2565 ที่ 1,770 จุด (อิงค่า EPS ที่ 96 บาท และค่า PER 18.50 เท่า) โดยมองระดับ 1,600 จุด (บวก – ลบ) หรือต่ำกว่าในการเข้า “ทยอยสะสม” ระยะกลางยาว ขณะที่ Earnings Yield Gap ปัจจุบันที่ 4.60% ค่อนข้างใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปี และมีโอกาสปรับลงได้ต่ำสุดราว 4.20% ซึ่งเป็น Low ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่จะรับกับ SET Index โดยใกล้เคียงกับเป้าหมายของทางฝ่ายวิจัยจึงมองว่าสมเหตุสมผล

ด้านกลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง – ยาว แนะนำ “แบ่งไม้ทยอยสะสม” 3 ระดับ เพื่อลดความเสี่ยงกรณีโอมิครอนระบาดและส่งผลกระทบ ได้แก่ 1,590 – 1,600 จุด รองลงมาคือ 1,550 – 1,570 จุด และกรณี Lockdown 1,500 – 1,520 จุด

โดยธีมการลงทุนในปี 2565 จะเป็นกลุ่ม Domestic และ Value Play เป็นหลักตามเศรษฐกิจที่ฟื้นและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะสามารถ Outperform Global Play ที่ปรับตัวดีในปีที่ผ่านมาและยกฐานขึ้นสูงไปแล้ว โดย Top Pick 10 หลักทรัพย์ในปี 2565 ได้แก่ (1) บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, (2) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, (3) บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC,

(4) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, (5) บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน)  หรือ JR, (6) บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD, (7) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, (8) บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA, (9) บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI, (10) บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS

Back to top button