“ทรงกลด” คัด 8 หุ้นท็อปพิค “Outperform” ตลาดไตรมาส 1

“ทรงกลด” คัด 8 หุ้นท็อปพิค “Outperform” ตลาดไตรมาส 1/65 มองตลาดหุ้นไทยผันผวนอีก 2 เดือน จากความกังวลท่าทีเฟสต่อกรณีเงินเฟ้อสหรัฐ ปักหมุด SET ปี 65 แตะ 1,892 จุด


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยอาจมีความผันผวนในช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้จากความกังวลเรื่องความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐต่อสภาพคล่องที่อาจส่งผลลบต่อราคาหุ้นเติบโต (Growth Stocks) และทำให้เป็นเรื่องยากต่อการเข้าซื้อเพื่อรอให้หุ้น Outperform อย่างไรก็ตาม FSSIA ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ SET Index โดยมองเห็นถึงอัพไซด์ต่อ EPS จากเศรษฐกิจ และการดำเนินงานของบริษัทที่แข็งแกร่ง ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการหักล้างความเสี่ยงของเฟดที่จะลดสภาพคล่องได้

ด้านอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง FSSIA มองว่าเป็นปัจจัยลบระยะสั้นเท่านั้น และในระยะยาว การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกกับสหรัฐจะเป็นปัจจัยบวกในการขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดหุ้นไทยในปีนี้จากสามปัจจัยหลัก คือ 1) เงินเฟ้อจากโควิด (ปัญหาซัพพลาย และค่าขนส่งที่สูง) จะค่อยๆ หมดไป 2) เงินเฟ้อสหรัฐคาดว่าจะแตะจุดสูงสุดในไตรมาส 1/2565 และ 3) การลดงบดุลของเฟดจะมีผลกระทบจำกัดต่อตลาดทุนในระยะสั้น

ทั้งนี้ FSSIA มองเป้าหมาย SET Index ในปี 2565 อยู่ที่ 1,892 จุด บนพื้นฐาน P/E ปี 2565 ที่ 17.2 เท่า จากผลประกอบกาบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง และนโยบายการเงินของธปท.ที่ช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันราคาหุ้นมูลค่า (Value Stocks) ขึ้นได้ โดย FSSIA จัดท็อปพิกที่คาดว่าจะ Outperform ตลาดในไตรมาส 1/2565 ไว้ 8 หุ้นด้วยกัน คือ IVL, SCGP, NEX, TTB, ADVANC, PR9, AMATA และ SAWAD

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ราคาเป้าหมาย 70 บาท

โดย IVL เป็นหุ้นท็อปพิกในกลุ่มปิโตรเคมีเนื่องจากมีศักยภาพการเติบโตของกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งในปี 2021-23 ผลักดันโดย 1) กำลังการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นจากการทำ M&A (Oxiteno สำหรับธุรกิจ IOD และ NN สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์) 2) มีมาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์ที่สูงทั้ง PET, PTA, และ IOD จากดีมานด์ที่สูงในปี 2565 และ 3) มาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นสำหรับกำลังการผลิต PET และ PTA 5 ล้านตันในตลาดอเมริกาเหนือ และยุโรปซึ่งคาดว่าจะสามารถบันทึก EBITDA ในปี 2565 ได้เพิ่มขึ้นอีกถึง 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่เดือนมกราคมนี้เป็นต้นไป

บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ราคาเป้าหมาย 77 บาท

ทั้งนี้ FSSIA เลือกให้ SCGP เป็นหนึ่งในหุ้นท็อปพิกจากมูลค่าพรีเมี่ยม EV/EBITDA ปี 2565 ที่ 7 เท่า เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด จากการเป็นบริษัทที่มีชื่อในตลาด ศักยภาพการเติบโตของกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งจาก M&P และการเติบโตแบบออแกนิก รวมถึงมาร์จิ้นที่ขยายตัวจากกลยุทธ์ลดต้นทุน FSSIA มองว่าตั้งแต่ไตรมาสที่หนึ่งนี้เป็นต้นไป จะเห็นการเติบโตของกำไรอย่างเห็นได้ชัด ผลักดันโดยรายได้จากกิจการที่เข้าซื้อ มาร์จิ้นที่สูงขึ้น และจำนวนผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในเวียดนาม อินโดนีเชีย และไทย อีกทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจคาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติในครึ่งหลังปี 2565

บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ราคาเป้าหมาย 26 บาท

โดย FSSIA คาดว่าปีนี้ NEX จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน EV ในประเทศไทย จากการตลาดที่แข็งแกร่ง และเครือข่ายบริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงการถือหุ้นใน Absolute Assembly (AAB) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถ EV รายแรกๆในไทย โดยในปี 2023 FSSIA มองว่ากำไรขั้นต้นจาก EV จะคิดเป็น 95% ของทั้งหมด ซึ่งจะช่วยทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้กับความยั่งยืนของกำไร และการเติบโตในฐานะเป็นผู้ขับเคลื่อนด้าน EV รายแรกในประเทศไทย

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ราคาเป้าหมาย 1.80 บาท

โดย FSSIA เชื่อว่า TTB จะมีอัตราการเติบโตของกำไรสูงที่สุดในกลุ่มแบงก์ในปี 2565 โดยจะอยู่ที่ 32% เมื่อเทียบจากปีก่อน  จาก 1) ซินเนอร์จี้รายได้ในปี 2565 จะทำให้ TTB สามารถขยายเข้าถึงฐานลูกค้าเพื่อสร้างโอกาสการทำ cross-selling และ up-selling ซึ่งจะช่วยขยายปริมาณสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียม นอกจากนั้นแล้ว TTB จะยังสามารถใช้ประโยชน์จากการควบรวมระหว่างแบงก์ และบุคลากร ทำให้ TTB จะเป็นเพียงแบงก์เดียวที่จะมี  ROE  ปี 2565 สูงกว่าช่วงก่อนโควิด

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ราคาเป้าหมาย 260 บาท

การผนึกกำลังของ TRUE และ DTAC จะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือในประเทศไทย ซึ่ง FSSIA เชื่อว่าจะเป็นผลบวกต่อทั้งกลุ่มอุตสาหกรรม แม้ว่า ADVANC จะตกไปเป็นอันดับสองในตลาด แต่ก็จะยังสามารถได้รับผลประโยชน์จากช่องทางอื่นๆ เนื่องจากมีคู่แข่งไม่มาก ทั้งนี้ FSSIA ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย (DCF-based) ของ ADVANC จากเดิม 220 บาท เป็น 260 บาท

บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 ราคาเป้าหมาย 15 บาท

FSSIA คาดว่า PR9 จะมีอัตราการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 60% ในปี 2565 ผลักดันโดยการเติบโตของรายได้ 18% และมาร์จิ้น EBITDA  ที่ปรับสูงขึ้นเป็น 22% จากเดิม 20% ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตคือ 1) ศูนย์การแพทย์ใหม่ 2) การกลับมาของลูกค้าต่างชาติ (คิดเป็น 10% ในปี 2562) และ 3) ลูกค้ากลุ่มใหม่จากสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญากับกรมบัญชีกลางเพื่อให้ข้าราชการสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้

บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท

โดย FSSIA มองว่า AMATA เป็นหนึ่งในหุ้นไทยที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่จะเข้ามาหลังผ่อนปรนมาตรการป้องกันโควิดของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยคาดว่ากำไรปี 2566 ของ AMATA จะเพิ่มขึ้นแตะ 1.8 พันล้านบาทซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิดจากดีมานด์ที่ดินที่เพิ่มขึ้นในไทย และเวียดนาม นอกจากนั้นยังมีอัพไซด์จากการเข้ารับสัมปทานการพัฒนาที่ดินจำนวน 410 เฮกตาร์ (2,562.5 ไร่) จากรัฐบาล สปป.ลาว ซึ่งจะเป็นหนึ่งในเมกะโปรเจคของลาวในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งเชื่อมกับจีน อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายที่ดินสำหรับโปรเจคนี้ยังไม่ได้นำมาคำนวนรวมกับประมาณการ

บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ราคาเป้าหมาย 80 บาท

โดย SAWAD เป็นหุ้นท็อปพิกของ FSSIA ในกลุ่มสินเชื่อทะเบียนรถโดยเชื่อว่าบริษัทจะสามารถต่อสู้กับการดิสรัปชั่นในธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถได้จากการกระจายความเสี่ยงด้วย 1) ขยายฐานลูกค้าด้วยการจับมือกับธนาคารออมสิน 2) ขยายธุรกิจสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น ขายประกัน และการบริหารสินทรัพย์ ทั้งนี้ FSSIA คาดว่ากำไรปกติของ SAWAD จะเพิ่มขึ้น 21% ในปี 2565 จากสินเชื่อที่เติบโต และรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

Back to top button