HPT ตั้งเป้าปี 65 รายได้โตกว่า 20% ลุยแตกไลน์สินค้าใหม่ ดันกำไรสูง 10%

HPT ตั้งเป้าปี 65 รายได้โตกว่า 20% ลุยแตกไลน์สินค้าใหม่มีต้นทุนลดลงมากกว่า 50% แต่สามารถขายในราคาเดิมได้ ดันกำไรปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เป็น 8-10% จากการที่มีคำสั่งซื้อมากขึ้น และยังประหยัดค่าพลังงานจากการลงทุนโซลาร์รูฟ


นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้กิจการโรงแรม ร้านอาหาร และอื่นๆ เตรียมความพร้อมในการที่จะกลับมาเปิดให้บริการ จึงมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งบริษัทฯ มีคำสั่งซื้อล่วงหน้า (Backlog) ณ สิ้นเดือน ม.ค.2565 ที่ 127 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถส่งมอบได้ต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 3/2565 จากลูกค้าหลักในกลุ่มทวีปยุโรป และสหรัฐ ในขณะเดียวกันบริษัทยังได้ร่วมกับพันธมิตรพัฒนาสินค้ากลุ่มสโตนแวร์ ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก คาดว่าปี 2565 จะสามารถรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ยังได้เริ่มพัฒนาสินค้าของตกแต่งบ้านเซรามิก จากเดิมที่บริษัทฯ มีสินค้าเพียงในกลุ่ม จาน ชาม ซึ่งเป็นเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ซึ่งสินค้าดังกล่าว เป็นการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และฐานลูกค้าใหม่ในอนาคต

ทั้งนี้บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนราว 40 ล้านบาท แบ่งเป็น 20 ล้านบาทใช้ในการขยายกำลังการผลิต ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังผลิตจากเดิมราว 30-40% ซึ่งปัจจุบันขยายกำลังผลิตไลน์ขึ้นรูปเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะดำเนินการขยายเตาเผาเพิ่มเติม ส่วนอีก 20 ล้านบาทใช้สำหรับทำการตลาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์

พร้อมกันนี้ยังใช้งบลงทุนอีกราว 8.90 ล้านบาทติดตั้งโซลาร์รูฟขนาด 400 กิโลวัตต์ ซึ่งจะดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จภายในเดือน เม.ย.2565 เชื่อว่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าให้บริษัทได้ราว 40%

สำหรับทิศทางอัตรากำไรสุทธิในปี 2565 นี้ จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เป็น 8-10% หลังจากต้นทุนต่อหน่วยปรับตัวลดลงตามคำสั่งซื้อที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ช่วยหนุนให้การใช้กำลังการผลิตเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ยังได้ลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้เพิ่มเติมด้วย

ในปีนี้ทิศทางอัตรากำไรสุทธิจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการที่เรามีคำสั่งซื้อมากขึ้น และทำให้การใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น ช่วยให้ต้นทุนต่อหน่วยปรับตัวลดลง ในขณะเดียวกันยังประหยัดค่าพลังงานจากการลงทุนโซลาร์รูฟ รวมไปถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีต้นทุนลดลงมากกว่า 50% แต่สามารถขายในราคาเดิมได้ ซึ่งจะเป็นปีที่ดีของเราทั้งในแง่ของรายได้ และ กำไร” นางสาวนิจวรรณ กล่าว

Back to top button