NOBLE รุกหนักปี 65 โกยยอดขาย 2 เดือนแรกกว่า 5 พันลบ. เร่งปั๊มรายได้ 1.1 หมื่นลบ.

NOBLE รุกปี 65 โกยยอดขาย 2 เดือนแรกกว่า 5 พันลบ. เปิดตัว 5 โครงการใหม่แล้ว จากทั้งหมด 18 โครงการตามแผน มั่นใจหนุนรายได้ทั้งปี 1.1 หมื่นลบ. คาดไตรมาส 1/65 ปิดลีดซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ 70 ยูนิต จากเป้าปีนี้ 550 ยูนิต


นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิงวดปี 2564 เพื่อจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังของปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลประกอบการทั้งปี 2564 ที่อัตรารวม 0.43 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ที่ประมาณ 7% โดยกำหนดจะนำเสนอเข้าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 เมษายน 2565 เพื่อทำการอนุมัติและกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565  และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 เพื่อกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 พฤษภาคม 2565

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564  บริษัทฯมีรายได้รวม 7,430 ล้านบาท ลดลง 32% เมื่อเทียบจากปีก่อน (YoY) และกำไรสุทธิอยู่ที่ 932 ล้านบาท ลดลง 50% เมื่อเทียบจากปีก่อน (YoY) ส่วนอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ลดลงอยู่ที่ระดับกว่า 12.5% และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 33.0% ลดลงจากปีก่อนเนื่องจากมีการทำแคมเปญสำหรับโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ในช่วงปีที่ผ่านมา

รวมถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จนส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศหยุดชะงักจากมาตรการคุ้มเข้มเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จนนำไปสู่การออกมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงการปิดแคมป์คนงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาคการดำเนินธุรกิจด้วยเช่นเดียวกัน

ในช่วงเดือนเมษายน 2564 ภาครัฐได้คุมเข้มมาตรการล็อกดาวน์ และการปิดแคมป์คนงาน ส่งผลต่อ Sentiment ของกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ รวมถึงกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวฉุดให้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอ ฉุดให้กำลังผู้บริโภคลดลง ขณะที่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้ง NOBLE ต้องเลื่อนแผนเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป และปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นทยอยการขายโครงการเดิมที่มีในพอร์ต เพื่อระบายโครงการเดิมเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงทางการเงิน

อย่างไรก็ตามภาคอสังหาฯเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/2564 จากนโยบายกระตุ้นมาตรการของภาครัฐ ทั้งการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น 100 % (จากเดิม 70% – 90%)  ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” นายธงชัย กล่าว

ขณะที่ยอดขาย (Pre-sale) ในปี 2564 อยู่ที่ระดับ 8,035 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 22% จากปี 2563 จากการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) ประมาณ 5,700 ล้านบาท และมาจากการขายโครงการเปิดใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกประมาณ 2,335 ล้านบาท  โดยแบ่งเป็นสัดส่วนของลูกค้าภายในประเทศ 71% และลูกค้าต่างชาติ 29% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนของส่วนแบ่งทางทางการตลาด (Market Share) เฉพาะตลาดของลูกค้าต่างชาติที่ 52% ของยอดขายรวมทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑล นอกจากนี้ในปี 2564 บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6,900 ล้านบาท ได้แก่ โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา และโครงการนิว โนเบิล คอนเนค เฮ้าส์ ดอนเมือง

สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565 ยังคงเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ โดยในปีนี้บริษัทฯได้วางเป้ายอดขาย (Pre-sale) ไว้ที่ระดับ 28,000 ล้านบาท และรายได้ที่ระดับ 11,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 47,700 ล้านบาท โดยบางโครงการเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดมาจากปี 2564

ทั้งนี้บริษัทฯได้วางเป้าหมาย เพื่อขยายพอร์ตสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและกระจายสินค้าให้หลากหลายคลอบคลุมทุกทิศของกรุงเทพฯ อาทิ โซนราชพฤกษ์ เอกมัย บางนา และกรุงเทพกรีฑา เป็นต้น

โดยช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา NOBLE ได้เปิดตัวโครงการพร้อมกัน 5 โครงการ  ประกอบด้วย โครงการนิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 โครงการนิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา และโครงการนิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการติดห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ ยังมีโครงการนิว โนเบิล อีโว อารีย์ และโครงการนิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนจากยอดขายสองเดือนแรกสำหรับ 5 โครงการรวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท และรวมยอดขายจากทุกโครงการเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงแผนการลงทุนในสหราชอาณาจักรสำหรับในปี 2565 ว่า NOBLE ยังคงแผนหน้าขยายการลงทุนซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์จะเปลี่ยนการลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งอาคารเป็นแบบ Bulk ยูนิต หรือการซื้อเป็นจำนวนหลายๆห้อง (Bulk Deal) แทน เนื่องจากการซื้อเป็นจำนวนยูนิตจะมีการแข่งขั้นที่น้อยกว่าการซื้อทั้งอาคาร

โดยในปี 2565 บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายจะซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ จำนวน 550 ยูนิต ภายใต้วงเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่ง NOBLE จะลงทุน 45% ตามสัดส่วน) โดยในเบื้องต้นคาดว่าภายในไตรมาส 1/2565 จะมีการซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์จำนวน 70 ยูนิต อย่างไรก็ตาม จากจุดแข็งทางธุรกิจของ NOBLE ไม่ว่าจะเป็นการมีเครือข่ายในต่างประเทศ รวมถึงการมีฐานลูกค้าต่างชาติที่แข็งแกร่ง และมีกลยุทธ์การขยายการลงทุนในต่างประเทศ ยังคงเป็นโอกาสการลงทุนทางธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ

Back to top button