เปิดโผ 18 หุ้น mai โกยกำไรปี 64 โตทะลักเกิน 100%

เปิดโผ 18 หุ้น mai โกยกำไรปี 64 โตทะลักเกิน 100% FPI-SEAOIL-BIZ-TRT-RWI นำทีมเด่น พร้อมลุ้นผลงานปี 65 โตเด่นต่อเนื่อง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ   เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ประกาศงบการเงินปี 2564 มานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกหุ้นมีกำไรโตทะลักเกิน 100% ซึ่งคัดเลือกมาทั้งหมด 18 ตัว ได้แก่ FPI, SEAOIL, BIZ, TRT, RWI, BROOK, SMD, SONIC, LEO, BE8, PLANET, SECURE, CPR, IRCP, CPANEL, A5, CAZ,SWC,โดยจะเสนอข้อมูลประกอบเพียง 5 อันดับ ดังตารางประกอบดังนี้

อันดับ 1 บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2564 มีกำไรสุทธิ 328.98 ล้านบาท โต 1,654.78% จากปี 2563 อยู่ที่ 18.75  ล้านบาท โดยรายได้รวมอยู่ที่ 2,167.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% จากปีก่อนมีรายได้รวม 1,856.8 ล้านบาท

เนื่องจากภาพรวมอุตสาหกรรมการส่งออกมีการฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศมีผลกระทบรุนแรงลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันกลับมาทำธุรกิจมากขึ้น ความต้องการใช้ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์กลับมาฟื้นตัวได้เร็ว ทำให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาส 4/2564 ยอดขายฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะที่ราคาวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ราคาขายสินค้าสามารถปรับตัวมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถขึ้นราคาสินค้ากับลูกค้าได้ 5-10% เนื่องจากราคาวัตถุดิบทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันบริษัทได้ทำสัญญาซื้อวัตถุดิบ โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์และสี และสินค้าซื้อมาขายไป เป็นการล่วงหน้าเป็นเวลา 6-12 เดือน ประกอบกับประสิทธิภาพในการผลิตที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ต้นทุนของเสียในการผลิตลดลง ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี

นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า แนวโน้มในไตรมาส 1/2565 คาดยอดขายยังโตต่อเนื่อง ซึ่งมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จำนวนมากจนผลิตไม่ทัน จนต้องมีการเอาท์ซอร์สถึง 6 บริษัท ที่เพิ่มเข้ามาตั้งแต่ปลายปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีการสั่งเครื่องจักรเพิ่ม 5 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศอินเดีย 2 เครื่อง และในประเทศไทย 3 เครื่อง

ทั้งนี้ ในปี 2565 ยังมีแนวโน้มที่สดใส โดยคาดจะมียอดขายประมาณ 2,400 ล้านบาท จากปีก่อนที่ประมาณ 2,100 ล้านบาท เนื่องจากภาพรวมอุตสาหกรรมการส่งออกฟื้นตัวแรง ขณะที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ยังคงมีสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัท FPI AUTO PART INDIA PRIVATE LIMITED ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในประเทศอินเดีย ดำเนินธุรกิจออกแบบและผลิตชิ้นส่วนยานยนต์, บริการรับออกแบบผลิตภัณฑ์และผลิตแม่พิมพ์พลาสติก, รับจ้างฉีด, ชุบโครเมียม, พ่นสี และประกอบชิ้นงานทุกประเภท ปัจจุบันมีการฟื้นตัวอย่างคึกคัก โดยมีออเดอร์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อน ซึ่งมีมูลค่างานในมืออยู่แล้วกว่า 700 ล้านรูปี

ดังนั้น บริษัทมียอดคำสั่งซื้อในมือ (Backlog) ทั้งงานในประเทศและต่างประเทศ มูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท โดยทยอยรับรู้ในปี 2565 ประมาณ 500 ล้านบาท และที่เหลือจะรับรู้ในปีถัดไป ขณะเดียวกันมีแผนเตรียมยื่นประมูลงานใหม่เพิ่มเติมอีก 300-400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะประมูลได้ประมาณ 50% ดังนั้นมีโอกาสที่จะสนับสนุนให้งานในมือปี 2565 เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,000 ล้านบาท

 

อันดับ 2 บริษัท ซีออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือSEAOIL รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2564 มีกำไรสุทธิ 230.95 ล้านบาท โต 1,152% จากปี 2563 อยู่ที่ 18.45 ล้านบาท  เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย การบริการและการให้เช่ารวม 11,340.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,065.38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 114.98 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่สูงขึ้น จากการขยายตลาดน้ำมันส่งออกไปยังต่างประเทศ และการขยายตลาดใหม่ทั้งในทวีปเอเซียและทวีปยุโรป และราคาน้ำมันในตลาดที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างมากเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้รายได้จากการให้บริการด้าน Catering & Service ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับสัญญาให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 2 โครงการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 และอีก 1 โครงการเริ่มเดือนตุลาคม 2564 และ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจัดหาเสบียงและขายสินค้าประเภทอาหารและวัตถุดิบ (Provision) ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564

รวมทั้งยังรับรู้ส่วนแบ่งกําไรจากการร่วมค้า แพน โอเรียนท์ เอ็นเนอยี่ (สยาม) ลิมิเต็ด 257.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 216.81 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 532.89 เมื่อเทียบกับปี ก่อน เนื่องจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ปรับตัวสูงขึ้นจากปี ก่อนอย่างมีนัยสําคัญ ทำให้มีรายได้จากการผลิตและจำหน่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น

 

อันดับ 3 บริษัท บิสซิเนสอะไลเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIZ รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2564 มีกำไรสุทธิ 420.33 ล้านบาท โต 846.632% จากปี 2563 อยู่ที่ 44.40 ล้านบาท บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 2,934.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,169.01 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 283.48% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวมจำนวน 765.13 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 420.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 375.93 ล้านบาท หรือ 846.63% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 44.40 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งมอบงานได้ตามกำหนด

นอกจากนั้นที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 2 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล จำนวนไม่เกิน 200 ล้านหุ้น และจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.4277777775  บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 22 เม.ย. 65 ทั้งนี้ บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วหุ้นละ 0.25 บาท รวมทั้งปีจ่ายปันผลเท่ากับ 371,111,111 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลทั้งสิ้นร้อยละ 88.01 ของกำไรสุทธิประจำปี 2564 หลังหักสำรองตามกฎหมาย และมีมติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 110,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 220,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 330,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 220,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการจ่ายหุ้นปันผล และรองรับการปรับสิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (BIZ-W1)

ด้านนายสมพงษ์ ชื่นกิติญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BIZ เปิดเผยว่าสำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาครัฐบาลและภาคเอกชน ซึ่งบริษัทฯมีโอกาสที่จะได้รับงานค่อนข้างมากด้วยศักยภาพ และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งจะสนับสนุนให้บริษัทฯ มีปริมาณงานในมือเพิ่มขึ้นรองรับรายได้ในระยะยาว โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 1,160 ล้านบาท

ทั้งนี้คาดว่าในปีนี้จะมีงานใหม่ออกประมูลทั้งในส่วนของโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน ไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท และบริษัทฯ มีโอกาสได้งานเพิ่มในหลายโครงการ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานทั้งรายได้ และกำไรมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

บริษัทฯ มีมติอนุมัติเตรียมย้ายหลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัทจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมอบหมายให้ฝ่ายจัดการดำเนินการยื่นคำขอให้รับหุ้นสามัญของบริษัทเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน พร้อมทั้งเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯจะดำเนินการเข้าจดทะเบียนหลักทรัพย์กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)  ภายหลังได้รับอนุมัติคำขอจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

อันดับ 4 บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2564 มีกำไรสุทธิ 72.63 ล้านบาท โต 509.43% จากปี 2563 อยู่ที่ 11.92  ล้านบาท  โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขาย 1,819.85 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 536.49 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.77 เนื่องจากบริษัทฯ มีการส่งมอบหม้อแปลงไฟฟ้าลดลง และบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการบริการ 146.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 22.75 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18.31 เนื่องจากรายได้บริการหม้อแปลงของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้ตามสัญญาก่อสร้าง จากการดำเนินการของบริษัทย่อย 54.51 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 3.77 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.48 เนื่องจากบริษัทย่อยมีงานสัญญาก่อสร้างลดลง และบริษัทฯ กำไรขั้นต้นจากการขาย ร้อยละ 21.93 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 16.79 เนื่องจากในปี 2564 มีการส่งมอบสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยสูงกว่า ปี 2563

ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีการเตรียมนำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการจ่ายปันผล ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท รวมเป็นเงินจ่ายปันผลทั้งสิ้น 36,960,992.64 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 ส่วนวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 3 พฤษภาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 27 พฤษภาคม 2565

อย่างไรก็ตามในต้นปีที่ผ่านมาบริษัทฯ เริ่มที่จะขยายตลาดในกลุ่ม NON-Transformer มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการทำตลาด “แบตเตอรี่ลิเธียม” โดยบริษัทฯ ได้รับคำสั่งจาก บริษัท บียอนด์ กรีน จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านธุรกิจรถไฟฟ้าอเนกประสงค์ครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย สั่งซื้อ “Lithium Battery : 48V 75Ah 1 box BMS 200A with 12V power port and coulomb indiator” พร้อมอุปกรณ์ Charger 54.75V 15A  และถาดรองแบตเตอร์รี่ จำนวน 2.88 MWh เพื่อใช้สำหรับรถไฟฟ้าอเนกประสงค์ หรือรถกอล์ฟ พร้อมแต่งตั้งให้ บียอนด์ กรีน เป็นตัวแทนจำหน่ายแบตเตอรี่ลิเธียมสำหรับรถอเนกประสงค์ให้กับ ถิรไทย แต่เพียงผู้เดียว โดยเป้ายอดขายในปีแรก 2565 นี้ กว่า 200 ล้านบาท

 

อันดับ 5 บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ RWI รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2564 มีกำไรสุทธิ 179.92  ล้านบาท โต 482.58% จากปี 2563 อยู่ที่ 30.88  ล้านบาท   โดยงนี้ บริษัทมีกำไรจากการผลิตและการขายสินค้าในปี 2564 จำนวน 72.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.20 ล้านบาท หรือ 1,799.30% จากปีก่อนขาดทุน 4.29 ล้านบาท

โดยบริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงต้นปี 2564 ราคาสินค้าปรับตัวสูง ประกอบกับขยายการผลิตในไตรมาส 4 ตลาดลวดเหล็กแรงดึงสูงมีความต้องการการใช้งานมาก ส่งผลให้บริษัทมีคำสั่งซื้อสูงตามไปด้วย

พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 01 ม.ค. 2564 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2564 เป็นเงินสด 0.10 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 9 มี.ค.65 และกำหนดจ่าย 25 พ.ค.65

ด้านนายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ กรรมการผู้จัดการ RWI เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนขยายรายได้ในธุรกิจเดิมประมาณ 15% ในปี 2565 และกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับฐานธุรกิจเดิม และฐานลูกค้าเดิม เพื่อสร้างความยั่งยืนของรายได้และกำไรต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพื้นฐาน (Fundamentals) การผลิต การขาย และการเงิน ของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งมากขึ้น โดยปรับเพิ่มเทคโนโลยีการผลิต การเพิ่มระบบการจัดการผลิต การจัดซื้อการบริหารระดับวัตุดิบ และสินค้าสำเร็จรูป การจัดส่งสินค้าให้รวดเร็ว และการเพิ่มคุณภาพสินค้า และบริการก่อนและหลังการขาย

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button