EE วางเป้ารายได้ปีนี้ 400 ลบ. รับรู้ผลผลิตกัญชง Q2 เดินหน้าโรงสกัดสาร CBD  

EE วางเป้ารายได้ปี 65 ไม่ต่ำกว่า 400 ลบ. รับรู้จำหน่ายผลผลิตกัญชง “ใบ-ดอก” ช่วงไตรมาส 2/65 ลุยเดินหน้าโรงสกัดสาร CBD คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเดือน เม.ย. 65 โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถเริ่มสกัด ได้ในช่วงไตรมาส 1/66


นายวรศักดิ์ เกรียงโกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE เปิดเผยว่า แนวโน้มทิศทางผลประกอบการในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 204.48 ล้านบาท แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน โดยในปีนี้บริษัทจะมีรายได้หลักจากการจำหน่ายผลผลิตกัญชง ทั้งใบและช่อดอก คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป

โดยในปัจจุบัน บริษัทฯ มีพื้นที่ในการปลูกภายใต้ บริษัท แคนนาบิซ เวย์ จำกัด (CW) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ EE ถือหุ้น 80% ซึ่งเป็นฟาร์มเพาะปลูกแบบโรงเรือน (Green House) ขนาด 9,000 ตารางเมตร เริ่มปลูกไปแล้วเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา โดยในพื้นที่ดังกล่าวสามารถปลูกได้ 30,000 ต้น นอกจากนั้นยังการปลูกในพื้นที่ Outdoor อีก 20,000 ต้น ทั้งหมดตั้งอยู่ในที่ดินของบริษัทที่มีเนื้อที่ทั้งหมด  36 ไร่ใน อ.วิหารแดง จ.สระบุรี

ขณะที่ล่าสุดบริษัทฯ ได้เข้าซื้อบริษัท ซีบีดี ไบโอไซเอนซ์ จำกัด (CBDB) ในวงเงิน 650 ล้านบาท โดยมีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองยวง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน เนื้อที่รวม 28ไร่ 95 ตารางวา มีโรงเรือนปลูกพืชกัญชงมากถึง 60 โรงเรือน พื้นที่เพาะปลูกรวมประมาณ 9,600 ตารางเมตร คาดว่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวและรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป

นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สนใจจะเข้ามาร่วมลงทุนตั้งโรงสกัดสาร CBD จากกัญชงและกัญชา โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเดือน เม.ย. 2565 ก่อนที่จะเดินหน้าก่อสร้างโรงสกัดทันที โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถเริ่มสกัดสาร CBD ได้ในช่วงไตรมาส 1/2566

อีกทั้งบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาการขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจปลายน้ำของกัญชงกัญชาเพิ่มเติมด้วย โดยหลังจากที่บริษัทมีวัตถุดิบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำแล้ว บริษัทฯ จะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เชิงสุขภาพ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเอง โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนและเริ่มจำหน่ายสินค้าได้ในปี 2566

อย่างไรก็ตามปี 2565-2566 เดินหน้าต่อเนื่องเข้าสู่การสกัดสำคัญจากต้นกัญชง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อรองรับการดำเนินงานในโครงการ โดยบริษัทฯ เสนอโครงการให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาดำเนินการโครงการโรงสกัดสาร CBD จากกัญชง ในไตรมาส 2 ปี 2565 คาดว่าจะสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมโรงสกัดสารในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566

โดยปี 2566 อุตสาหกรรมปลายน้ำเห็นความชัดเจนของผลตอบรับจากผู้บริโภคจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า เมื่อมีวัตถุดิบหรือสารสกัดจากโครงการต้นน้ำของกลุ่มบริษัทเสถียรและเพียงพอ บริษัทจึงดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เชิงสุขภาพ Premium Supplement Products เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูง สามารถตอบสนองกลุ่มเป้าหมายใน Premium Class มองไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท

สำหรับบริษัท ซีบีดี ไบโอไซเอนซ์ จำกัด บริหารงานโดย นพ.อิสระ เจียวิริยบุญญา ซึ่งเป็นแพทย์ที่ศึกษา และมีประสบการณ์การบริหารโครงการกัญชาทางการแพทย์มาเป็นเวลายาวนาน นอกจากนี้ยังได้ทีมที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งเป็นทีมอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่มีความรู้ประสบการณ์ในการปลูกกัญชงมาช่วยดูแลโครงการอีกด้วย

ด้านบริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการ CW โดย นางสาวอุนารินทร์ กิจไพบูลทวี และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ปลูกทั้งในโรงเรือน Green House และด้านนอกเป็นศูนย์การเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวที่สถานที่สำหรับการไปตั้งแคมป์ มีรายได้จากการขายผลผลิตกัญชง ค่าอบรม และรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ที่ตั้งโครงการอยู่ที่จังหวัดสระบุรี ภาคกลางของประเทศ CW มีพันธมิตรร่วมกับ บริษัท อัลฟ่า ดิวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ส่วนโครงการของ CBDB โดยมีคุณหมออิสระ และที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เน้นการปลูกกัญชงแบบอุตสาหกรรมในโรงเรือน Greenhouse มีรายได้จากการขายผลผลิตเท่านั้น ซึ่งที่ตั้งโครงการอยู่ที่จังหวัดลำพูน ภาคเหนือของไทย ด้วยระบบ EVAP (Evaporative Cooling System ซึ่งเป็นระบบฟาร์มแบบปิดที่จะสามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและป้องกันโรคระบาดได้ดี CBDB มีพันธมิตรร่วมกับ บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR

Back to top button