CGS International

นายธีรศักดิ์ ธนวรากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยในงาน Market’s NEW Magnet : “คัดหุ้นเด่น..เค้นหุ้นปัง…ที่ปลอดภัย..?” จัดโดย ข่าวหุ้นธุรกิจ วันที่ 16 สิงหาคม 2568 เปิดเผยมุมมองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า ดัชนี 1,300 จุดในปีนี้ยังเป็นไปได้ยาก แต่มีลุ้นในปีหน้า โดยมองว่าตลาดมีโอกาสถอยลงไปทดสอบระดับ 1,200 จุด ก่อนจะตั้งหลักขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ปัจจัยการเมืองจะกลับมาเข้มข้นตั้งแต่สัปดาห์หน้า โดยเฉพาะเดือนกันยายนที่คาดว่าจะร้อนแรงเป็นพิเศษ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทั้งในมิติการเมืองและตลาดหุ้น ด้านกระแสเงินทุนต่างชาติ นายธีรศักดิ์มองว่าหุ้นไทยอยู่ในโซนล่าง เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดโลกแล้ว ตลาดอื่น ๆ มีการปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นไทยจึงไม่ใช่เป้าหมายหลักของเม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่ ทำให้เงินทุนที่เข้ามาเป็นเพียง “แรงซื้อที่ยังคงเหลือจากประเทศอื่น” ส่งผลให้ Fund Flow ไหลเข้ามาเป็นระยะ ๆ ไม่ใช่ขนาดใหญ่เหมือนในอดีต สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าจับตามองในภาวะตลาดผันผวน นายธีรศักดิ์มองว่า หุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ที่ทำ New High ในรอบเกือบ 2 ปี จะเป็นตัวนำตลาดในรอบถัดไป เนื่องจากมีการประกาศจ่ายปันผลสูงขึ้น และหากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงต่อเนื่อง เงินลงทุนจะไหลเข้ากลุ่มนี้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ หุ้นบิ๊กแคป อย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ก็ยังมีความน่าสนใจ โดย SCC แม้เคยอ่อนตัวลงมาเกือบหลุด 200 บาท แต่ในภาพใหญ่ยังเป็นขาขึ้น ขณะที่ PTT ถูกมองว่าได้เบรกดาวน์เทรนด์ใหญ่สุดในรอบกว่า 10 ปี หุ้นบิ๊กแคปเหล่านี้จึงถือเป็น “หุ้นที่ปลอดภัย” และเป็นที่รู้จักของนักลงทุนอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน นายธีรศักดิ์แนะนำ หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA และบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE เหมาะสำหรับการเก็บ เมื่อดัชนีถอยลงมาที่ 1,230–1,200 จุด เนื่องจากทั้งสองหุ้นสามารถทะลุแนวต้านสำคัญและทำจุดสูงสุดใหม่ได้ โดยข้ามเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันขึ้นมาแล้ว โดย HANA มีจุดแข็งคือเงินสดในมือจำนวนมาก ขณะที่ KCE มีความน่าสนใจมากในแง่จังหวะและโอกาสในการลงทุน นอกจากนี้การเลือกหุ้น นายธีรศักดิ์ยังเน้นหลักการ บริหารพอร์ตและการกระจายความเสี่ยง โดยแนะนำให้นักลงทุนถือหุ้นอย่างน้อย 5 ตัว แต่ไม่เกิน 10 ตัว เพื่อป้องกันความเสียหายจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่ขาดทุนมากเกินไป ดังนั้นนักลงทุนควรสร้างสมดุลและตรวจสอบข้อมูลความเสี่ยงในการลงทุนทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ