SCB CIO ชู 3 กลยุทธ์ “ปรับพอร์ต” ช่วงเศรษฐกิจถดถอย แนะถือเงินสด 10% รอสะสมหุ้นสหรัฐ

SCB CIO ชู 3 กลยุทธ์ “ปรับพอร์ต” ช่วงเศรษฐกิจถดถอย แนะถือเงินสด 5-10% ในพอร์ตรอจังหวะสะสมหุ้นสหรัฐพร้อมกลุ่มเปิดเมืองประเทศในอาเซียน


ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า  ตลาดการเงินโลกกำลังได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และล่าสุดตลาดการเงินโลกเริ่มกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยหลังตัวเลขเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัว และหดตัวในบางประเทศ

โดยความกังวลเริ่มสูงขึ้นหลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาส 1/65 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าออกมาติดลบ (-1.4% QoQ saar) โดยสาเหตุหลักมาจากการเร่งตัวของการนำเข้า ในขณะที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังเติบโตได้ดี (2.7%) โดย SCB CIO ประเมินว่าโอกาสที่จะเกิดการถดถอยทางเทคนิค (technical recession) ในสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2/65 ยังมีค่อนข้างน้อย แต่จีนมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไตรมาส 2/65 จะชะลอมากกว่าคาด หลังการปิดเมืองเข้มข้น และมีแนวโน้มยืดเยื้อ ในขณะที่ยูโรโซนมีความเสี่ยงที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่พร้อม

อย่างไรก็ตาม ตลาดกำลังกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัวแรงหรือเข้าขั้นถดถอย โดยประเมินว่าเฟดจะให้ความชัดเจนมากขึ้นในการประชุมเดือน มิ.ย. นี้ หากพิจารณาความเคลื่อนไหวในตลาดพันธบัตรและค่าเงิน SCB CIO มองว่าตลาดการเงินโลกยังคงมีความผันผวน จนกว่าจะมีความชัดเจนจากเฟด โดยดัชนีภาวะการเงินของสหรัฐฯ (US Financial condition index) เริ่มตึงตัวใกล้ระดับปลายปี 61 ที่มีการขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับสูงสุด 2.5% ในรอบการขึ้นดอกเบี้ยที่แล้ว เชื่อว่าเฟด จะเริ่มพิจารณาประเด็นนี้มากขึ้น และส่งสัญญาณชัดเจนในการประชุม 14-15 มิ.ย.นี้

โดย SCB CIO ยังคงมุมมองคาดว่าเฟด จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 50 bps ในการประชุมในวันที่ 14-15 มิ.ย และ 26-27 ก.ค. นี้ หลังจากนั้นจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 25 bps ในอีก 3 การประชุมที่เหลือ ทำให้ Upper bound Fed fund target rate อยู่ที่ 2.75% ณ สิ้นปี 65 แม้ความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยจะสูงขึ้น แต่ผลประกอบการล่าสุดในกลุ่มประเทศ DM (สหรัฐฯ ยูโรป และญี่ปุ่น) และเวียดนาม ยังเติบโตได้และมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/65 ล่าสุดยังเห็นการเติบโตต่อเนื่องและทำได้ดีกว่าคาด

ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ ราคาน้ำมันในตลาดโลก และการปิดเมืองในจีนที่อาจส่งผลกระทบต่อ supply chain โดย SCB CIO ประเมินว่า หากราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่เร่งตัวไปมากกว่าในกรอบ 100-110 USD/barrel ในช่วงครึ่งหลังของปี อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะเริ่มชะลอลงตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้ความจำเป็นของเฟดที่จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ส่งสัญญาณในการประชุมเดือน มิ.ย.นี้ จะมีค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตาม การปิดเมืองเข้มข้นในเมืองเศรษฐกิจหลักของจีนเป็นความเสี่ยงต่ออัตราเงินเฟ้อโลกที่ต้องระมัดระวังในช่วงที่เหลือของปี

ดร.กำพล กล่าวต่อไปว่า การปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงเวลานี้ ที่ตลาดคิดว่าเศรษฐกิจกำลังถดถอย โดย SCB CIO แนะนำ 3 กลยุทธ์หลักดังนี้ 1) Cash amidst uncertainty ในช่วงที่รอความชัดเจนจากเฟด ยังคงแนะนำให้มีเงินสดใน portfolio สัดส่วนประมาณ 5%-10% 2) Cost pass through to maintain profit margin ในกลุ่มตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) แม้จะมีมุมมอง Neutral แต่ชอบตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สามารถส่งผ่านต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นได้ โดยมีการเติบโตของค่าจ้างเป็นตัวช่วย

โดยรอจังหวะสะสมหุ้นสหรัฐฯ เมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นจากเฟด และ 3) Reopening in ASEAN เราปรับมุมมอง หุ้นไทย เป็น Positive หลัง valuation กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง

ขณะที่การเปิดเมือง มีความคืบหน้าต่อเนื่อง เราเชื่อว่าการเปิดประเทศของไทยจะทำให้กำลังซื้อในประเทศเริ่มฟื้นตัว จนพร้อมรับดอกเบี้ยขาขี้นได้ในปี 66 ซึ่ง ธปท. น่าจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยใน 1H2023 และคงมุมมอง Positive ต่อ กลุ่มกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อาเซียน ( Asian REITs)

สำหรับมุมมองด้านค่าเงินบาท SCB CIO ประเมินว่า US dollar index อยู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปีและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่ยังขาดดุล ส่งผลแรงกดดันทำให้เงินบาทไทยอ่อนค่า น่าจะรุนแรงสุดในช่วงไตรมาส 2/65 แต่ในระยะข้างหน้า การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยน่าจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามการคาดการณ์การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมกับ US dollar index ที่น่าจะเริ่มชะลอตัวลงบ้างหลังมีความชัดเจนจาก dot plot ของเฟดในช่วงเดือน มิ.ย.นี้  เราคาดว่า USDTHB เคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-34.5 ในไตรมาส 2/65 และเริ่มแข็งค่าขึ้นในกรอบ 33-34 ในช่วงครึ่งหลังของปี 65

นอกจากนี้ SCB CIO ยังคงมุมมอง Positive กับตลาดหุ้นเวียดนาม ประเมินความผันผวนเป็นปัจจัยระยะสั้นเนื่องจากตลาดหุ้นเวียดนามมีนักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ลงทุนหลัก แต่การฟื้นตัวของการส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการ ยังเติบโตต่อเนื่อง และยังคงมุมมอง Neutral ต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนที่ยังคงถูกกดดันจากนโยบาย Zero COVID policy

Back to top button