CRC ลุยขยายสาขา รับอานิสงส์เปิดประเทศ-ศก.ฟื้น มั่นใจดันยอดขายปี 65 โต 20%

CRC ส่งซิกไตรมาส 2/65 โตต่อ วางงบลงทุน 2 หมื่นลบ. ลุยขยายสาขากว่า 300 สาขา ทั้งในไทย-เวียดนาม-อิตาลี รับอานิสงส์เปิดประเทศ-เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลังจากโควิดคลี่คลาย มั่นใจดันยอดขายปี 65 โตเข้าเป้า 20%


นายพันธ์เทพ เหลืองวิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 เปิดเผยว่า บริษัทรายงานผลประกอบไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวม 56,274 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8% เนื่องจากรายได้จากการขาย 50,694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตในทุกธุรกิจ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสาขาในจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญเริ่มฟื้นตัวขึ้น โครงการช้อปดีมีคืนของรัฐบาลในช่วง 1 ม.ค.-15 กุมพาพันธ์ 2565 การปรับปรุงสาขาเก่า การขยายสาขาใหม่ และการเปิดร้านค้ารูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง

ส่วน EBITDA  อยู่ที่ 6,622 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบจากปีก่อน และกำไรสุทธิ 1,324 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 189% เมื่อเทียบจากปีก่อน ด้านการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 1/65 เติบโต 11% เป็นบวกต่อเนื่องทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี ขณะที่ยอดขายออมนิแชแนลโดยรวมก็เติบโตขึ้น 44%

สำหรับแผนงานปี 2565 วางงบลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท ในการพัฒนาปรับปรุงธุรกิจหลัก ตลอดจนขยายธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ และลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มเติม เพื่อเสริมศักยภาพ CRC Ecosystem รวมถึงต่อยอดแพลตฟอร์มออมนิแชแนล โดยในทุกไตรมาสตลอดทั้งปีนี้วางแผนเปิดตัวธุรกิจ สินค้า และบริการใหม่ๆ ให้กับวงการค้าปลีกทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี

โดยจะขยายสาขาใหม่กว่า 300 สาขาตลอดทั้งปี ประกอบด้วยร้านค้าหลักในแต่ละธุรกิจ ได้แก่ ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, ไทวัสดุ และท็อปส์ รวมถึงร้านค้าเฉพาะทาง (Specialty store) อื่นๆ พร้อมเดินหน้าขยายสาขารูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น ท็อปส์ สแตนด์อโลน หลังจากได้รับกระแสตอบรับดีมากในสาขาแรก รวมถึง New Format อื่นๆ ที่เน้นเจาะตลาดใหม่ๆ และเร่งเครื่องขยายการเติบโตของกลุ่มธุรกิจใหม่ Health & Wellness อย่างเต็มกำลัง

รวมทั้งเปิดตัวแพลตฟอร์มและบริการใหม่ทั้งในกลุ่มฟู้ดและน็อนฟู้ด อาทิ ไทวัสดุ โมบายด์แอปพลิเคชัน ที่จะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคมปีนี้ รวมถึงการเปิดตัวบริการ Tops Prime ที่เป็นรูปแบบ Subscription ส่งฟรีไม่จำกัดครั้ง

อีกทั้งยกระดับศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อาทิ เพิ่มร้านค้าและแบรนด์ใหม่, ปรับโฉมให้มีความโลคอลยิ่งขึ้น และต่อยอดศูนย์การค้าในทำเลศักยภาพ ให้เป็นรูปแบบมิกซ์ยูส โดยร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ ในการสร้างคอนโดควบคู่กับศูนย์การค้า เพื่อดึงทราฟฟิก และมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น

ส่วนในประเทศเวียดนาม พร้อมขยายสาขาออฟไลน์ใหม่ตลอดทั้งปี ประกอบด้วย ศูนย์การค้า GO! และไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! 1 สาขา, ซูเปอร์มาร์เก็ต mini go! และท็อปส์ 12 สาขา และร้านค้าน็อนฟู้ดอื่นๆ รวมอีก 70 สาขา โดยมุ่งเป้าสร้างฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมทั้งตลาดกลางและล่าง ตอบรับกับการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศเวียดนาม โดยหลังจากโควิดคลี่คลายก็จะทำให้ประเทศเวียดนามเปิดประเทศ ทำให้ยอดขายประเทศเวียดนามกลับมาเติบโตต่อเนื่อง

ขณะที่ประเทศอิตาลี เชื่อมั่นว่ายอดขายไตรมาส 2/2565 ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยทั้งปีคาดจะเติบโตเป็นเลข 2 หลัก จากอานิสงส์การคลายล็อกดาวน์โควิด-19 และการกลับมาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

ดังนั้นในปี 2565 จึงคาดว่ายอดขายจะเติบโต 15-20% ตามเป้าที่วางไว้ จากยอดขายของสาขาเดิมทั้งในประเทศไทย อิตาลี เวียดนาม มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยอดขายสาขาเดิมในช่วงไตรมาส 1/2565 เติบโต 20% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยยอดขายในของสาขาเดิมทั้งในประเทศไทย อิตาลี เวียดนาม ต่างก็มีการเติบโตได้มากกว่า 20% ขณะที่ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายของ Omi Channel อยู่ที่ 18% และตั้งเป้าว่าในปี 2565 สัดส่วนยอดขายของ Omi Channel จะอยู่ที่ 25% ส่วนเป้าหมายระยะยาวจะอยู่ที่ประมาณ 25-30% จากการลูกลูกค้ามีความคุ้นเคยกับการช้อปปิ้งในช่องทาง Omi Channel มากขึ้น

Back to top button