SCCC กำไรไตรมาส 2 ลดลง 6% เหลือ 1.35 พันลบ.

SCCC กำไรไตรมาส 2/65 ลดลง 6% เหลือ 1.35 พันล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 1.45 พันล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกกำไรลดลง 14% เหลือ 2.15 พันล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 2.51 พันล้านบาท 


บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/65 และงวด 6 เดือนแรกของปี 65 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

สำหรับกำไรสุทธิลดลง อาจถูกแรงกดดันจากต้นทุนเชื้อเพลิงและต้นทุน วัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ดีในช่วงไตรมาส 2/2565 รายได้รวมอยู่ที่ 12,758 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.90% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 10,051 ล้านบาท ยังมีการเติบโตตามความต้องการปูนซิเมนต์จากกิจกรรมการก่อสร้างของโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทีเพิ่มขึ้น

ขณะที่บล.เมย์แบงก์ ประเมินผลประกอบการปี 2565 ว่า SCCC ได้เผชิญกับอุปสรรคต้นทุนพลังงานที่ปรับขึ้น โดยเฉพาะถ่านหิน ดังนั้น SCCC พยายามปรับราคาขายขึ้นเฉลี่ยประมาณ 6-7 เหรียญ/ตัน หรือ ประมาณ 200 บาท/ตัน เพื่อรักษาอัตรากําไรขั้นต้น โดย SCCC มีการล็อกถ่านหินรองรับประมาณ 70-80% ที่จะใช้ทั้งปี รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุน และใช้เชื้อเพลิงทดแทนมากขึ้น

ทั้งนี้ประเมินอัตรากําไรขั้นต้นปีนี้จะปรับลดลงไม่มาก 29.8% เทียบกับปีก่อน 30.6% ในขณะที่ยอดขายคาดจะได้แรงหนุนจากราคาขายที่ปรับขึ้นประมาณ 8-10% ทําให้ยอดขายปีนี้คาดจะเท่ากับ 46,176 ล้านบาท เติบโต 10.8% โดยมีกําไรปกติ 3,970 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ผลของการขาดทุนในอัตราแลกเปลี่ยนในครึ่งปีแรกประมาณ 800-900 ล้านบาท จะทําให้มีกําไรสุทธิ 3,241 ล้านบาท ลดลง 24% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินการลงทุนของภาครัฐบาล/เอกชน ปี 2565 จะเติบโต 4.2%/4.7% ปี2566 จะเติบโต 4.4%/4.8% สําหรับประเทศเวียดนาม Maybank Research ประเมินการลงทุนรวม ปี 2565/66 จะเติบโต 8.5%/8.5% คาดจะช่วยหนุนให้ยอดขายของ SCCC ในไทยและเวียดนามมีศักยภาพจะเติบโตในอนาคต

ดังนั้นด้วยแนวโน้มปี 2565คาดจะประคองตัวได้จากการปรับราคาขายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ท่ามกลางต้นทุนพลังงานที่ปรับขึ้นSCCC มีฐานะการเงินแข็งแกร่งหนี้สุทธิต่อทุนต่ำ 0.4 เท่า มีกระแสเงินสด EBITDA สูง 8.4 พันล้านบาท ราคาซื้อขาย P/E ต่ำ 11.3 เท่า EV/EBITDA 7.4 เท่า P/BV 1.2 เท่าและ อัตราเงินปันผลตอบแทน 5.3% ประเมินราคาเป้าหมายบนฐานค่าเฉลี่ย 10 ปี ได้ราคาเป้าหมาย 200 บาท คงแนะนํา “ซื้อ”

Back to top button