จับตา TOP พุ่ง! กำไร Q2 โต 10 เท่า ทะลุ 2.5 หมื่นลบ. ดีเกินคาด รับสต๊อกเกน-บุ๊กขาย GPSC

จับตา TOP พุ่งแรง! กำไรไตรมาส 2/65 ดีเกินคาดโต 10 เท่า ทะลุ 2.5 หมื่นลบ. จากปีก่อนกำไร 5.48 พันลบ.  รับรายได้ขาย-สต๊อกเกน-บุ๊กขาย GPSC ส่วนงวด 6 เดือนกำไร 3.25 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้นเฉียด 5 เท่าตัว


บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/65 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.65 ดังนี้

โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 65,772 ล้านบาท ตามราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจำกสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 20.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน น้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด และน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวดีขึ้นมาก หลังหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองและการเดินทางระหว่างประเทศ อีกทั้งธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดมีกำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากอุปสงค์ของสาร LAB ที่ดีอย่างต่อเนื่อง

ส่วนราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 3,774 ล้านบาทจากไตรมาส 2/65 และมีรายการกลับรายการสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 259 ล้านบาทในไตรมาส 2/65 เทียบกับรายการปรับลดมูลค่ามูลค่าสินค้ำคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 71 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 เมื่อรวมกับผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิที่เพิ่มขึ้น 10,207 ล้านบาท ส่งผลให้มี EBITDA เพิ่มขึ้น 15,319 ล้านบาท

โดยนายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/65 ปรับดีขึ้น หลังความต้องการใช้น้ำมันในประเทศฟื้นตัวและค่าการกลั่นที่ปรับสูงขึ้นชั่วคราวจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย ยูเครน ส่งผลให้อุปทานน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดตึงตัว ส่วนครึ่งปีหลังยังต้องติดตามราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีความผันผวนสูง ในขณะที่ค่าการกลั่นเริ่มปรับลดลงสู่ระดับปกติ เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานปรับสู่สมดุล ส่งผลให้สต๊อกน้ำมันเบนซินทยอยปรับสู่ระดับปกติ

สำหรับช่วงไตรมาส 2/65 มีรายได้จากการขาย 143,892 ล้านบาท ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ไทยออยล์บันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 7,557 ล้านบาท มีการบันทึกขาดทุนจากการเข้าทำสัญญาบริหารความเสี่ยง 12,626 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25,327 ล้านบาท ทั้งนี้ ไทยออยล์ได้บันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้นของ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ในไตรมาส 2/65 จำนวน 12,880 ล้านบาท (หลังหักภาษี) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินระยะยาว เพื่อนำไปชำระเงินกู้ยืมระยะสั้น (Birding Loan) สำหรับการเข้าลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีที่ประเทศอินโดนีเซีย

“ภาพรวมธุรกิจการกลั่นในช่วงครึ่งปีหลังยังมีความไม่แน่นอนสูง จากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ดังนั้น จึงต้องติดตามสถานการณ์และราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ ไทยออยล์เร่งเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจตามแผนการลงทุนที่วางไว้ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการต่อยอดไปยังธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ได้แก่ การลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) และ การลงทุนในธุรกิจโอเลฟินที่ประเทศอินโดนีเซีย รวมทั้งขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค และ แสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต เพื่อลดความผันผวนจากอุตสาหกรรมพลังงาน และนำไปสู่เป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืน”นายวิรัตน์ กล่าว

ขณะที่ก่อนหน้านี้บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่ามอง Positive ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 ของ TOP คาด 22,088 ล้านบาท เติบโต 941% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 208% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เพราะมีกำไรจากการขาย GPSC และค่าการกลั่นสูงกว่าคาด หากตัดรายการพิเศษออก คาดกำไรปกติราว 10,578 ล้านบาท เติบโต 210% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 54% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน มาจากธุรกิจโรงกลั่นที่ค่าการกลั่นเพิ่มก้าวกระโดดมาที่ราว 23 $/bbl เติบโต 5,710%  เมื่อเทียบจากปีก่อน  และ 263% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน หนุนจากความต้องการใช้น้ามันฟื้นทั่วโลก ขณะที่ supply น้ำมันตึงตัวจากหลีกเลี่ยงน้ามันรัสเซีย

ทั้งนี้ปรับกำไรปกติ 65 ขึ้น 60% เป็น 25,601 ล้านบาท เติบโต 54% เมื่อเทียบจากปีก่อน สะท้อนค่าการกลั่นที่สูงกว่าคาด พร้อมกับปรับปี 65 เป็น 80 บาท/หุ้น จากเดิม 77 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ” รวมถึงเลือกเป็น top pick มองกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 เด่นกว่ากลุ่ม และครึ่งหลังปี 65 โตเมื่อเทียบจากปีก่อน และสูงกว่า pre-COVID ระยะยาวความสามารถในการทำกำไรสูงกว่ากลุ่มหลังโครงการ CFP เริ่ม COD ปี 66

Back to top button