เปิดโผ 20 หุ้น mai โกยกำไร Q2 โตทะลักเกิน 100%

เปิดโผ 20 หุ้น mai โกยกำไรไตรมาส 2/65 โตทะลักเกิน 100% ชู ATP30-A5-KOOL-CHEWA เด่นสุด 5 อันดับแรก พร้อมจับตากำไรทั้งปี 2565 โตแกร่งต่อเนื่อง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไวน์” สำรวจข้อมูลการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/65 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ mai โดยมีกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่นเกิน 100% โดยพบว่ามี  20 บริษัทที่ประกาศผลการดำเนินงานเข้าหลักเกณฑ์

โดย 20 อันดับแรกนำทีมโดย ATP30, TMI, A5, KOOL, CHEWA, HPT, PLANET, WINMED ,SEAOIL, KCC, TAPAC, JUBILE, ABM, SE, THANA, CPANEL, TNH, LEO, PPS, และ SONIC อย่างไรก็ตามบริษัทจะขอนำเสนอข้อมูลประกอบผลประกอบหุ้น 5 อันดับแรกของกลุ่มดังนี้

อันดับ 1 บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 11.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 664.30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.45 ล้านบาท เนื่องจากรายได้รวม 158.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 109.43 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 45.04% และมีกำไรสุทธิ 11.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 663.45%

ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรก 2565 บริษัทมีรายได้รวม 311.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 219.89  ล้านบาท จำนวน 91.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 29.50% และมีกำไรสุทธิ 24.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.26  ล้านบาท จำนวน 13.01 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 53.61%

ทั้งนี้รายได้ของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น จากการให้บริการลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2/2565 จำนวน 14 คัน ขณะที่กำไรปรับตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนบริษัทมีการลงทุนรถให้บริการเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ประกอบกับบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี

ด้านนายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ ATP30 เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2565 มีแนวโน้มเติบโตในเกณฑ์ดี จากการลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก ส่งผลให้รถรับส่งพนักงานมีความต้องการมากขึ้น ขณะที่ การให้บริการบริหารจัดการการให้เช่าและการเดินรถไฟฟ้า กับบริษัท อีวี มี พลัส จำกัด และบริษัท อรุณ พลัส จำกัด กระแสตอบรับที่ดี

โดยบริษัทมีจำนวนรถที่ดูแลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มการใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทศึกษาการให้บริการรถบัสไฟฟ้าเพิ่มเติม เพื่อนำรถบัสไฟฟ้ามาให้บริการรับ-ส่งพนักงานซึ่งเป็นธุรกิจหลัก คาดว่าจะเริ่มให้บริการรถบัสไฟฟ้าฟลีทแรกได้ภายในปีนี้ ถือเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า และเพื่อเป็นการขยายฐานรายได้ของบริษัทให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต โดยบริษัทตั้งเป้าหมายปี 2565 เติบโต 25% หรือมีรายได้รวมที่ 600 ล้านบาท

อันดับ 2 บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 7.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 658.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 0.94 ล้านบา เนื่องจากมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 122.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.85 ล้านบาท หรือ 15.96% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น สินค้าประหยัดพลังงาน ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น

ด้านนายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการและประธานกรรมการบริหาร TMI เปิดเผยว่าา การดำเนินธุรกิจหลังจากนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายขยายการลงทุนเชิงรุกในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น หลังจากโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพแห่งที่ 3 เริ่มจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 นี้

โดยประเมินว่าจะใช้ระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 8 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ โดยโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพดังกล่าวได้รับการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานสากลในรูปแบบ “ขยะเหลือศูนย์ (Zero Waste)” ซึ่งเป็นแนวทางในการลดการเกิดขยะตั้งแต่ต้นทางและทำให้ขยะที่ต้องนำไปกำจัดให้ลดเหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือจนเป็นศูนย์ โดยใช้เทคโนโลยีที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมถึงธุรกิจคาร์บอนเครดิตที่เป็นอีกหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนได้ นับได้ว่าเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพต้นแบบแห่งแรกของบริษัทฯ

อันดับ 3 บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 28.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 455.270% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 5.20 ล้านบาท  เนื่องจากบริษัทสามารถบริหารต้นทุนในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผนวกกับความต้องการด้านที่อยู่อาศัยที่ยังมีอัตราเพิ่มขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่รายได้รวม อยู่ที่ 229 ล้านบาท เติบโต 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านในโครงการวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ และโครงการบ้านรชยา วงแหวน-นาดี จังหวัดอุดรธานี ที่ปิดการขายได้แล้วทุกยูนิต

ด้านนายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร A5 เปิดเผยว่า แนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะทยอยฟื้นตัว แม้ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากเดิม 0.50% เป็น 0.75% แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันยังคงเป็นช่วงเวลาที่ดีของการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่ได้ปรับขึ้นราคาบ้านมากนักเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นการซื้อบ้านในปีนี้น่าจะได้ราคาที่ดีกว่าปีหน้าอย่างแน่นอน

ขณะที่บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 4,500 ล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายยอดขาย 1,000 ล้านบาท ตามที่บริษัทฯ วางไว้

นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินเพื่อเตรียมไว้พัฒนาโครงการใหม่ในปีหน้า คาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ 1-2 แปลงในเร็วๆ นี้ รวมถึงมองหาที่ดินเพิ่มเติมในทำเลที่มีศักยภาพ ส่วนความคืบหน้ายอดขายโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ “ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์” มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 87% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธ์ในไตรมาส 2 ปีหน้าตามแผนที่วางไว้

อันดับ 4 บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 10.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 439.62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.94 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 103.03 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 140.03 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากต้นทุนขาย และต้นทุนบริการลดลง

สำหรับ KOOL ดำเนินธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า “MASTERKOOL” และ “Cooltop” นอกจากนี้บริษัทยังให้บริการเช่าใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว รวมถึงออกแบบและติดตั้งระบบระบายความร้อน และระบบโอโซน

อันดับ 5 บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 100.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 410.39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่  19.66 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้รวม 889.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการแนวสูง จำนวน 12 โครงการ เป็นจำนวน 577.76 นบาท เป็นสัดส่วนร้อยละ 64.97 ของรายได้รวม และ โครงการแนวราบจำนวน 7 โครงการ เป็นจำนวน 302.40 ล้านบาท เป็นสัดส่วนร้อยละ34.01 ของรายได้รวม และรายได้อื่น 9.09 ล้านบาท เป็นสัดส่วนร้อยละ 1.02 ของรายได้รวม

ทั้งนี้จากการยอดขายและขอดรับรู้รายได้ใน ไตรมาส 2/2565 ยังคงมีผลการดำเนินงานได้เป็นไปตามเป้าหมายจากประมาณการยอดขายและขอดรับรู้ร้ายได้จากการขายอสังหาริทรัพย์ทั้งปีประมาณ 2,800 ล้นบาท โดยมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์รวมทั้งสิ้น 1,178.84 ล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนร้อยละ 42.10 ของรายได้ที่ประมาณการไว้ ซึ่งแบ่งเป็น โครงการแนวสูง 79.73 ล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนร้อยละ 27.49 และสำหรับโครงการแนวราบมีรายได้ 409.10 ล้านบาท ถือร้อยละ 14.61 ของรายได้ที่ประมาณการ ไว้

โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯมีโครงการที่รอรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อีก 1 โครงการ ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button