PLUS รุกเพิ่มกำลังผลิต-ออกโปรดักส์ใหม่ ปักธง 5 ปี กวาดรายได้ 4 พันล้าน

PLUS มั่นใจรายได้ปีนี้โต 50% แตะ 1.50 พันล้าน หลังออกสินค้าใหม่-เพิ่มกำลังการผลิต เดินหน้าขยายตลาด ดัน 5 ปี รายได้ 4 พันล้าน


นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้ไว้ 1,500 ล้านบาท เติบโต 50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งก็เห็นได้จากครึ่งปีแรกโชว์กำไรสุทธิก้าวกระโดดเติบโต 2 เท่าตัว และเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อเนื่องจากคำสั่งซื้อเร่งตัวขึ้นจากตลาดสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาดหลัก ผนวกกับสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์มีการคลี่คลายดีขึ้น และค่าระวางเรือปรับลงจากช่วงก่อนหน้าถือเป็นปัจจัยบวกต่อบริษัททำให้ต้นทุนลดลง

นอกจากนี้การฟื้นตัวของตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักรวมถึงตลาดตะวันออกกลาง ส่งผลให้สินค้ากลุ่มหลักอย่างน้ำนมมะพร้าวและน้ำมะพร้าวมีการเติบโตดีขึ้น รวมทั้งได้อานิสงส์เชิงบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่า เบื้องต้นยังคงประเมินว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้บริษัทมีโปรดักส์ใหม่ออกขายเป็นสินค้ากลุ่ม Plant-Based เช่น “โคโคนัท โยเกิร์ต” ซึ่งสามารถเก็บรักษาได้นานถึง 18 เดือน และชานมที่อยู่ระหว่างขยายตลาดในจีน (Own Brand) มีคำสั่งซื้อฟื้นตัวดีขึ้น โดยปัจจุบัน PLUS มีสัดส่วนยอดขายต่างประเทศกว่า 99% ซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเน้นสหรัฐอเมริกา ส่วนยุโรปบริษัทจะลองเข้าไปขยายตลาด และยังมีลูกค้ากลุ่มเอเชียอย่าง ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น

สำหรับเครื่องดื่มกลุ่มน้ำมะพร้าวปัจจุบันส่งสินค้าเข้าห้าง Walmart แล้วกว่า 2,000 สาขา พร้อมมีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนไปขยายกำลังการผลิตเพิ่มจากเดิมผลิตขวดแก้ว 5 ไลน์ผลิต ซึ่งมีกำลังการผลิตประมาณ 200 ล้านขวดต่อปี โดยจะไปเพิ่มกำลังการผลิตขวดพลาสติก (PET) เพิ่มอีก 1 ไลน์ผลิตใหม่ โดยมีกำลังการผลิต 76 ล้านขวดต่อปี หรือคิดเป็น 400 ขวดต่อนาที คาดจะเริ่มเดินเครื่องไตรมาส 1/2566 เพื่อรองรับดีมานด์ที่มากขึ้น หลังจากบริษัทมีแผนขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ รวมทั้งลงทุนในระบบเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพิ่มเติม เพื่อขยายตลาดใหม่สอดรับเทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่จะเติบโตในอนาคต

สำหรับในปัจจุบัน PLUS ขยับขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกน้ำผลไม้ลำดับที่ 3 ของประเทศจากเดิมลำดับที่ 12 และขึ้นชั้นเป็นลำดับที่ 1 ของกลุ่มน้ำผลไม้ผสมจากลำดับที่ 3 เมื่อสิ้นปี 2564 ตอกย้ำศักยภาพในการดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของประเทศ

อย่างไรก็ดีไตรมาส 4/2565 อาจจะไม่ได้เป็นช่วง Low season เหมือนทุกปีเพราะบริษัทได้รับคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาอย่างล้นหลามจากการขยายตลาดหาพันธมิตรใหม่ อีกทั้งบริษัทได้ไปออกงานแสดงสินค้าตามที่ต่างๆก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งนี้จึงได้เริ่มแผนขยายตลาดในประเทศ นำร่องจำหน่ายสินค้าผ่าน Gourmet market, Food Land, Jiffy และ Shopping online ที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์

นอกจากนี้บริษัทเตรียมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเฟสแรกมีกำลังผลิต 1 เมกะวัตต์ คาดช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าราว 30% โดยจะเริ่มในปี 2566 และในอนาคตจะยังมีการติดตั้งเพิ่ม ส่วนการที่ภาครัฐประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้นบริษัทได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย

ด้านพื้นที่ตั้งโรงงานบริษัทมีพื้นที่ 83 ไร่ ปัจจุบันใช้พื้นที่ไปแล้วจำนวน 40 ไร่ ซึ่งยังสามารถขยายพื้นที่การผลิตได้อีกมาก นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนซื้อสวนมะพร้าวเพื่อที่จะสามารถจัดสรรวัตถุดิบได้อย่างคล่องตัวและสามารถลดต้นทุนได้อีกด้วย

สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 5 ปีต่อจากนี้ (ปี 2565-2569) บริษัทวางเป้ารายได้ไว้ที่ 4,000 ล้านบาท เพื่อสะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2566 บริษัทคาดการณ์ว่ารายได้จะเติบโตมากกว่า 20-30% ซึ่งยังไม่รวมโปรดักส์ใหม่

Back to top button