โบรกชู KLINIQ ผู้นำเวชกรรม-สุขภาพ เคาะเป้าสูง 34 บ. กำไรปีนี้โต 54%

โบรกเคาะราคาเป้าหมายหุ้นน้องใหม่ไอพีโอป้ายแดง KLINIQ สูงถึง 34 บาท/หุ้น ชูจุดเด่นผู้นำด้านเวชกรรมและสุขภาพครบวงจรของไทย คาดกำไรปีนี้โต 54% แตะ 198.77 ล้านบาท


บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยบทวิเคราะห์ หุ้น บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ประเมินมูลค่าพื้นฐาน 34 บาท ด้วยวิธี PE multiple ใช้กำไรต่อหุ้นปี 2566 ที่ 1.36 บาท กำหนดเป้าหมาย PE ปี 2566 ที่ 25 เท่า อิงกับ -1SD ของค่าเฉลี่ย ซื้อขายย้อนหลัง 5 ปี (2560-2564) ของ บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA

ทั้งนี้ KLINIQ ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านผิวหนัง ศัลยกรรมตกแต่งความงาม และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ทันสมัยตามหลักการแพทย์ ได้แก่ การให้บริการด้านการรักษาโรคผิวหนัง ผิวพรรณความงาม ลดน้ำหนัก ดูแลรูปร่าง ศัลยกรรม Wellness และฟื้นฟูสุขภาพ โดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านความงามและศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งบริษัทมีประสบการณ์ให้บริการตรวจรักษาโรคด้านผิวหนังและศัลยกรรมด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทันสมัย ภายใต้แบรนด์ “เดอะคลีนิกค์” มีสาขารวม 39 สาขา ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565

โดยบริษัทฯ มีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2565 สนับสนุนจาก (1) การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้กำลังซื้อแข็งแกร่งขึ้น, (2) ผลกระทบจากโรคระบาดโควิด 19 คลี่คลาย และการเปิดประเทศทำให้อุปสงค์ที่ตกค้าง (pent-up demand) จากทั้งผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น และ (3) การขยายสาขาใหม่ โดยบริษัทฯ จะเปิดสาขาใหม่ 2 แห่งในครึ่งปีหลัง 2565 ขณะที่จะเปิดเพิ่ม 9 สาขาในปี 2566 และ 8 สาขา ในปี 2567 (2) ธุรกิจเสริมความงามขยายตัว 8% CAGR (2565 – 2574)

สำหรับจากการเปิดเผยข้อมูลของ KLINIQ คาดว่ากำไรสุทธิเติบโต 60% ในปี 2565 และขยายตัวต่อเนื่อง 45 – 34% ในปี 2565 – 2567 จาก (1) ยอดขายเติบโต 33% CAGR (2565 – 2567), (2) อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวสูง 59%/60%/60% ในปี 2565 – 25674 และ (3) ธุรกิจเสริมความงามเติบโตแข็งแกร่งกว่า บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS คาดการใช้จ่ายด้านการเสริมความงาม/คน ขยายตัวล้อกับสัดส่วนของสังคมผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 4% CAGR (2563 – 2583) และธุรกิจสุขภาพทั่วโลก (Global Wellness) เติบโต 21% CAGR (2563 – 2568)

ด้านวัตถุประสงค์การเงินที่ได้จาก IPO ครั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนใช้เงินเพิ่มทุนเพื่อ (1) ลงทุนในการขยายกิจการ, (2) ลงทุนในการจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติม, (3) ลงทุนในการขยายกิจการศูนย์ศัลยกรรม, (4) พัฒนาระบบ IT และระบบข้อมูลลูกค้าและ (5) เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ

ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า KLINIQ เป็นผู้นำด้านเวชกรรมและสุขภาพครบวงจรของไทย ที่มีประสบการณ์การให้บริการลูกค้ายาวนาน และมีจำนวนสาขาถึง 39 สาขาครอบคลุม 15 จังหวัดของไทย โดยลูกค้าหลักจะเป็นคนในประเทศ 90% และต่างชาติ 10% (pre-COVID) นอกจากนี้ผลประกอบการของ KLINIQ จะกลับมาเติบโตหลัง COVID คลี่คลาย และเทรนด์ของอุตสาหกรรมความงาม จากการขยายตัวของสังคมเมืองรวมถึง median age ของประชากรเพิ่มขึ้นทำให้มีความกังวลต่อภาพลักษณ์

ประเมินกำไรสุทธิปี 2564 – 2566 CAGR สูงถึง 46% สำหรับปี 2565 คาดกำไรสุทธิที่ 195 ล้านบาท เติบโต 51% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และปี 2566 ประเมินกำไรสุทธิที่ 275 ล้านบาท เติบโต 41% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะ The Klinique ที่เติบโตสูงต่อเนื่องจากการขยายสาขา (ปี 2565/2566 เปิดเพิ่ม 7/5 สาขาตามลำดับ) และปรับเพิ่มโปรแกรมการรักษาให้ครอบคลุมความต้องการผู้ใช้บริการ และยังมี Upside จากลูกค้าต่างชาติ” บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุ

ทั้งนี้ประเมินราคาเป้าหมายที่ 30 บาท อิงค่า PER ปี 2566 ที่ 23.60 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย peer กลุ่ม รพ. ที่ค่า PER ปี 2566 ที่ 29 เท่า เนื่องจากมองว่า KLINIQ ให้บริการเฉพาะในกลุ่ม Aesthetic, Wellness และศัลยกรรมความงามเท่านั้น เทียบกับกลุ่มโรงพยาบาลที่มีบริการครอบคลุมในทุกด้าน

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปัจจัยที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนทิศทางรายได้ของ KLINIQ อยู่ที่ (1) การฟื้นตัวของการเข้ามาใช้บริการคลินิก หลัง COVID คลี่คลาย (จำนวนวันเฉลี่ยที่เปิดให้บริการสาขาของปี 2563 และ 2564 อยู่ที่ 296 วัน และ 272 วัน ตามลำดับ/ระดับปกติที่ 365 – 366 วัน), (2) การเปิดสาขาใหม่ที่ต่อเนื่อง โดยอนุมานการตั้งสาขาคลินิกใหม่ปี 2565 – 2566 ที่ 9 สาขา/ปี (ณ สิ้น ไตรมาส 2/2565 มีการเปิดคลินิกใหม่แล้ว 5 สาขา จากสิ้นปี 2654), (3) การเปิดให้บริการศูนย์ศัลกรรมในปี 2565 (ซึ่งปัจจุบันมี 1 สาขา ที่ สยามสแควร์) โดยคาดว่าการเปิดศูนย์ศัลยกรรมจะส่งผลบวกรายได้ต่อหัวโดยรวมจาก case ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น พร้อมประเมินว่ากำไรสุทธิในปี 2565 จะอยู่ที่ระดับ 198.77 ล้านบาท เติบโต 53.78% ส่วนปี 2566 จะอยู่ที่ระดับ 280.73 ล้านบาท เติบโต 41.23% ซึ่งจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแข็งแกร่ง โดยมี CAGR (2563 – 2566) ที่ 24.72%

อย่างไรก็ดีประเมินราคาเหมาะสมของ KLINIQ ในปี 2566 ได้ที่ 30.50 บาท โดยใช้วิธี P/E Mutiplier และมองค่า P/E ที่เหมาะสมจาก Mean+0.5SD ของ 2566 Forward P/E ของ Peer กลุ่ม ร.พ.ขนาดเล็ก-กลาง (จากรูปแบบการให้บริการ) ที่ 23.90 เท่า ใช้ P/E ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย Peer จากการเติบโตทางรายได้ที่แข็งแกร่ง

Back to top button