ECF กางแผนปี 66 เพิ่มกำลังผลิต รองรับออเดอร์ทะลัก

ECF แย้มผลงานไตรมาส 4/65 เติบโตดีกว่าไตรมาส 3/65 หลังอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว-ช่วงไฮซีซั่นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ หนุนกำลังซื้อเพิ่มขึ้น วางแผนปี 66 เพิ่มกำลังผลิต รองรับออเดอร์ทะลัก เร่งสร้างโรงไฟฟ้ามินบูเฟส 2 คาดเสร็จไตรมาส 2/66


นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจช่วงไตรมาส 4/65 จะเติบโตดีกว่าไตรมาส 3/65 และมีสัญญาณดีขึ้น ในลักษณะค่อย ๆ ฟื้นตัว จากนโยบายการเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ภาคอสังหาริมทรัพย์คึกคัก ประกอบกับเป็นช่วงไฮซีซั่นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ส่งผลให้ตลาดในประเทศ มีสัญญาณการเติบโตที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทได้ปรับกลยุทธ์รุกตลาดในประเทศให้มากขึ้น และนโยบายบริหารจัดการต้นทุนการขายและบริหารที่ทำอย่างเข้มข้นเริ่มเห็นผลตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

ขณะที่ตลาดต่างประเทศ แม้ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาจะมียอดจำหน่ายที่ลดลงแต่ก็คาดว่าจากนี้จะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ในไตรมาส 4/65 เริ่มเห็นสัญญาณที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าอินเดียที่ยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นบริษัทยังรักษายอดคำสั่งซื้อสินค้าได้แม้จะยังไม่เพิ่มขึ้นแบบมีนัยสำคัญ โดยในปี 66 บริษัทมีแผนเตรียมเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อรองรับออเดอร์ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น โดยช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีสัดส่วนรายได้จากยอดขายในประเทศอยู่ที่ 52% และต่างประเทศอยู่ที่ 48%

สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 220 MW เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ ที่ปัจจุบันรับรู้รายได้เฟสที่ 1 จำนวน 50 MW แล้ว ปัจจุบันทาง GEP อยู่ระหว่างการก่อสร้างเฟส 2 ซึ่งความคืบหน้าการก่อสร้างยังคงเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ภายหลังจากที่สถานการณ์ความไม่สงบรวมถึงภาวะการแพร่ระบาดของ Covid-19 เริ่มคลี่คลาย โดยคาดว่าการก่อสร้างเฟส 2 จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/66  และจะเร่งดำเนินการก่อสร้างสำหรับเฟสที่เหลือให้ครบทั้ง 4 เฟสโดยเร็วต่อไป

ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3/65  บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 357.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่  342.31  ล้านบาท จำนวน  14.86 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.34 % และมีกำไรสุทธิ 9.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 5.45  ล้านบาท จำนวน  4.22 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 77.32% และมีกำไรเบ็ดเสร็จรวมเท่ากับ 52.97  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรดังกล่าว 30.55 ล้านบาท จำนวน 22.42 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 73.36 %

ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2565 มีรายได้จากการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ และบริษัทย่อย 1,091.78 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1,129.99 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.41% และ 2.27% ตามลำดับ และมีกำไรส่วนของบริษัทเท่ากับ 31.76 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรดังกล่าว 35.54 ล้านบาท

Back to top button