GULF โกยรายได้แสนล้าน ดันกำไรปี 65 ทะลุ 1.14 หมื่นล้าน โต 48%

GULF โกยรายได้แสนล้าน ดันกำไรปี 65 ทะลุ 1.14 หมื่นล้านบาท โต 48% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 7.67 พันล้านบาท โดยรายได้เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็น 8 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 79.6% ของรายได้รวม และรายได้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมค้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก พร้อมแจกปันผลหุ้นละ 0.60 บาท ขึ้น XD 1 มี.ค.


บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานปี 65 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.65

โดยผลการดำเนินงานปี 2565 มีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากรรายได้รวมจากการดำเนินธุรกิจในปี 2565 อยู่ที่ 101,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 52,870 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 1.รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติปี 2565 อยู่ที่ 80,750 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 79.6% ของรายได้รวมเพิ่มขึ้น 101.0% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 และราคาขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามราคาต้นทุนก๊าซธรมชาติ

2.รายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียนสำหรับปี 2565 อยู่ที่ 8,486 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.4% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 27.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามผลประกอบการที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้า BKR2 และรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาภายใต้ GULF1

3. รายได้จากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคสำหรับปี 2565 อยู่ที่ 4,212 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2% ของรายได้รวม โดยหลักปรับเพิ่มขึ้นตามความคืบหน้าของงานก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม MTP3 ในส่วนของงานถมทะเล

4.ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าสำหรับปี 2565 อยู่ที่ 6,321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119.0% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH (เริ่มรับรู้ในไตรมาส 4/64) และบันทึกส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน)จาก FX ของ GJP และ INTUCH และกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจากตราสารอนุพันธ์ของ PTINGD และ GGC รวมเป็นผลขาดทุนที่น้อยลงกว่าในปี 2564

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2565 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 3,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 865 ล้านบาท หรือ 32% จากไตรมาส 4/64 โดยสาเหตุหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 รวมกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,325 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการในเดือนมีนาคม และตุลาคม 65 ส่งผลให้หน่วยผลิตไฟฟ้าทั้ง 4 หน่วยได้เปิดดำเนินการครบตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย และยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก INTUCH จำนวน 1,085 ล้านบาท ในไตรมาส 4/65

นอกจากนี้ในเดือนธันวาคม 65 GULF ได้มีการจำหน่ายหุ้น 50.01% ใน BKR2 Holding ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ให้แก่ Keppel Group ส่งผลให้มีกำไรจากการขาย จำนวน 381 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิ (Net Profit) ในไตรมาส 4/65 เท่ากับ 5,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% จาก 3,043 ล้านบาทในไตรมาส 4/64

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า สำหรับปี 2566 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตประมาณ 50% จากโครงการที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปี 2566 โดยหลักจะมาจากโครงการโรงไฟฟ้า IPP โครงการที่ 2 ภายใต้ IPD ได้แก่ โครงการ GPD หน่วยที่ 1 และ 2 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (1,200 เมกะวัตต์) โดยหลังจากนี้ GULF จะเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Greenhouse Gas Emissions) โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจากปัจจุบัน 9% เป็น 40% ภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมาจากการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อน โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) และการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ยุโรป อเมริกา สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนปากแบง (Pak Beng) และเขื่อนปากลาย (Pak Lay) นั้น คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ภายในไตรมาส 1/2566

นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มว่า สำหรับธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยที่ร่วมลงทุนกับ Binance นั้น ได้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ กับทาง กลต. เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตภายในไตรมาส 1/2566 และสำหรับธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ GULF ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS นั้น คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในกลางปีนี้ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2568 นอกจากนี้ GULF อยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจ Virtual Banking เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลด้วย ในเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา GULF ได้เข้าซื้อหุ้น 41.13% ใน THCOM จาก INTUCH โดยเล็งเห็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจดาวเทียม (Satellite) ไปในธุรกิจ New Space Economy เช่น การนำข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หรือการประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าชุมชน รวมถึงดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit Satellite) เป็นต้น

ทั้งนี้ เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ทำการปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ GULF มาอยู่ที่ระดับ “A+” จากระดับ “A” และปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ของ GULF มาอยู่ที่ระดับ “A” จากระดับ “A-“ โดยในไตรมาส 1/2566 GULF มีแผนจะออกหุ้นกู้เพิ่มอีกประมาณ 15,000 – 20,000 ล้านบาท เพื่อชำระคืนเงินกู้เดิมและเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท ประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 151% โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 2 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2566 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 5 เมษายน 2566

X
Back to top button