“เครดิต สวิส” เปิดผลตอบแทน 35 ประเทศ “ตราสารทุน” ให้สูงสุด

“เครดิต สวิส” รายงานผลตอบแทนจากการลงทุนทั่วโลกจาก 35 ประเทศ โดยพบว่า “ตราสารทุน” ให้ผลตอบแทนสูงกว่า “พันธบัตร”


“เครดิต สวิส” เปิดเผยรายงานผลตอบแทนการลงทุนทั่วโลกประจำปี 2566 โดยมีเนื้อหาครอบคลุมสินทรัพย์หลักทุกประเภทใน 35 ประเทศ ข้อมูลตลาดส่วนใหญ่ รวมถึงดัชนีชี้วัดระดับโลกมีข้อมูลย้อนหลัง 123 ปี ตั้งแต่ปี 2443 มุมมองในระยะยาว

โดยพบว่า ตราสารทุน ให้ผลดีที่สุดในระยะยาว ช่วง 123 ปีที่ผ่านมา ตราสารทุนทั่วโลกได้ให้ผลตอบแทนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐต่อปีที่ร้อยละ 5.0 เทียบกับพันธบัตรที่ร้อยละ 1.7 และตั๋วเงินที่ร้อยละ 0.4 ขณะที่ตราสารทุนให้ผลตอบแทนดีกว่าพันธบัตร ตั๋วเงิน และภาวะเงินเฟ้อในตลาดทั้ง 35 แห่ง และตั้งแต่ปี 2443 ตราสารทุนทั่วโลกให้ผลตอบแทนดีกว่าตั๋วเงินราวร้อยละ 4.6 ต่อปี และสูงกว่าพันธบัตรราวร้อยละ 3.3 ต่อปี และในอนาคตประเมินว่าค่าชดเชยความเสี่ยง (Risk Premium) ของตราสารทุน จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.5 ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขในอดีตเล็กน้อยที่ร้อยละ 4.6

ทั้งนี้ นักลงทุนตราสารทุนคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนจากตราสารทุนเป็น 2 เท่าของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นในช่วงเวลา 20 ปี โดยตั้งแต่ปี 2443 ออสเตรเลียเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในแง่ของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมีผลตอบแทนที่แท้จริงต่อปีที่ร้อยละ 6.43 รองลงมาคือสหรัฐอเมริกาที่ร้อยละ 6.38

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีมูลค่าร้อยละ 58 ของตลาดหุ้นทั่วโลก (แบบ Free-float และลงทุนได้) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดถึง 9 เท่า นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังมีตลาดตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ซึ่งในอดีต การกระจายความเสี่ยงในหุ้น ในหลายประเทศ และหลายสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ทาให้อัตราผลตอบแทน เมื่อเทียบกับความเสี่ยง (Return-Risk Tradeoff) ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก และในอนาคตผลประโยชน์ยังคงมีอยู่มากเช่นกัน

ภาวะเงินเฟ้อ

ภายในสิ้นปี 2022 เงินเฟ้อเฉลี่ยของประเทศในรายงานประจาปีฉบับนี้อยู่ที่ร้อยละ 8.0 ซึ่งสูงกว่า ณ สิ้นปี 2020 ถึง 19 เท่า โดยมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อได้พุ่งถึงจุดสูงสุดในสิ้นปี 2565 อย่างไรก็ตาม รายงานประจำปีบ่งชี้ว่าในอดีตเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงกว่าร้อยละ 8 อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะกลับสู่ระดับเป้าหมาย

โดยในช่วง 123 ปีที่ผ่านมา ภาวะเงินเฟ้อส่งผลกระทบในทางลบต่อทั้งพันธบัตรและตราสารทุน ตราสารทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ แม้ว่าจะมีการกล่าวอ้างว่ามีก็ตาม ขณะที่ความสัมพันธ์ของหุ้นและพันธบัตรส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบมานานกว่าสองทศวรรษจนถึงสิ้นปี 2021 ทาให้ หุ้นและพันธบัตรป้องกันความเสี่ยงของกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ในรายงานประจำปี 2565 ได้มีการเตือนนักลงทุนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติในระยะยาว การบริหารความเสี่ยงล้มเหลวในปี 2565 เนื่องจากทั้งตราสารทุนและพันธบัตรมีมูลค่าที่ลดลงทั้งคู่สืบเนื่องจาก ภาวะเงินเฟ้อ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว และรอบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงทำให้กลยุทธ์ 60:40 และการผสมสินทรัพย์ที่คล้ายกัน ประสบการขาดทุนเป็นอย่างมาก

โดยหลังจาก 40 ปีที่พันธบัตรให้ผลตอบแทนเหมือนตราสารทุน กฎว่าด้วยความเสี่ยงและผลตอบแทนได้รับการ พิสูจน์อีกครั้งในปี 2565 โดยถือเป็นปีที่แย่ที่สุดของพันธบัตรในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ และตลาดที่พัฒนาแล้ว ซึ่งรายงานประจำปีระบุว่า ในอดีตผลตอบแทนจากหุ้นและพันธบัตรจะลดลงมากในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น มากกว่าช่วงที่ปรับตัวลดลง ซึ่งในสหรัฐอเมริกาส่วนชดเชยความเสี่ยงของตราสารทุนเมื่อเทียบกับตั๋วเงินส่วนใหญ่ (ในสหราชอาณาจักรและ ทุกตลาด) จะได้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับตัวลดลง

ขณะที่นักลงทุนจะกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่อัตราเงินเฟ้อกลับเพิ่มสูงขึ้น (Stagflation) การวิจัยทางประวัติศาสตร์ใหม่ในรายงานประจำปีฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าข้อกังวลเหล่านี้เป็นเหตุเป็นผล โดยในช่วงภาวะ Stagflation ผลตอบแทนของหุ้นและพันธบัตรที่แท้จริงเฉลี่ยติดลบอยู่ที่ร้อยละ 4.7 และ 9.0 ใน กรณีตรงกันข้ามที่เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างมั่นคง ผลตอบแทนที่แท้จริงโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ร้อยละ 15.1 สำหรับตราสารทุน และร้อยละ 8.8 สำหรับพันธบัตร

โดยปีนี้ นักประวัติศาสตร์การเงินชื่อดังอย่างศาสตราจารย์ Elroy Dimson ศาสตราจารย์ Paul Marsh และ Dr. Mike Staunton ได้ตรวจสอบข้อดีของการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ปี 2414 จนถึงปัจจุบัน

ด้านสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราเงินเฟ้อ

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคพลังงาน เป็นตัวเร่งภาวะเงินเฟ้อให้เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นผู้เขียนจึงได้ตั้งคำถามว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งสินค้าโภคภัณฑ์จริง/สินค้าโภคภัณฑ์แบบซื้อขายเงินสด (Physical / Spot) ได้ให้ผลตอบแทนต่ำในระยะยาวมาตั้งแต่ปี 2443 ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี ติดลบที่ร้อยละ 0.5 โดยร้อยละ 72 ของสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตรวจสอบไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้

อย่างไรก็ตาม พอร์ตโฟลิโอของสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภทที่ให้น้ำหนักเท่ากัน ให้ผลตอบแทนต่อปีสูงกว่า ร้อยละ 2.0 แสดงให้เห็นถึงข้อดีของการกระจายความเสี่ยง โดยทองคำไม่ได้เป็นเพียงสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ยังเป็นการลงทุนทางการเงินด้วย การลงทุนในทองคา 1 ดอลลาร์ สหรัฐเมื่อปี 2443 เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ซึ่งต่ำกว่าพันธบัตรสหรัฐ (7.8 ดอลลาร์สหรัฐ) และ หุ้น (2,024 ดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม ทองคำมีบทบาทในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อและการ ลงทุนแบบระมัดระวัง

ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์แบบซื้อขายเงินสด (Spot) ยกเว้นโลหะมีค่า เนื่องจากมีค่าจัดเก็บและค่าประกันที่สูง สัญญาซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (Commodity Futures) มีความสะดวกและราคาที่ถูกกว่า อีกทั้งยังมีการทบสัญญา (Rollover) เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งมอบได้ด้วย

ส่วนสัญญาซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (futures) ได้สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าสินค้าโภคภัณฑ์แบบซื้อขายเงินสด (Spot) โดยเฉลี่ยสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลราวร้อยละ 1 ต่อปีในระยะยาว

ด้านพอร์ตโฟลิโอที่มีน้ำหนักเท่ากันของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบเดียวกันนั้น ให้ผลตอบแทนมากกว่าพันธบัตร รัฐบาลมากกว่าร้อยละ 3 ต่อปี แสดงให้เห็นถึงผลดีของการกระจายความเสี่ยงเช่นกัน

โดยตั้งแต่ปี 2443 พอร์ตโฟลิโอสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีการค้ำประกันโดยสมบูรณ์ให้ค่าชดเชยความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นในตลาดหลักทั้งหมด โดยมีค่าความผันผวนคล้ายกับหุ้นมาก

อย่างไรก็ตาม สัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นมีลักษณะเหมือนกับหุ้น ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการขาดทุนที่ยาวนาน โดยการขาดทุนของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เห็นชัดที่สุดคือในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ช่วงปี 2473 และหลังวิกฤตการเงินโลก

โดยในอดีตสินค้าโภคภัณฑ์มีความสัมพันธ์ต่ำกับตราสารทุนและมีความสัมพันธ์เชิงลบกับพันธบัตรทำให้สินค้า เหล่านี้เป็นตัวกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อด้วย โดยสินค้าโภคภัณฑ์มีลักษณะเฉพาะตัว ต่างจากสินทรัพย์หลัก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง ต่างมีความสัมพันธ์เชิงลบกับอัตราเงินเฟ้อ

ขณะที่สัญญาซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้ามีแนวโน้มที่จะให้ผลดีเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง แต่คุณสมบัติการ ป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อหมายความว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนต่ำในช่วง ภาวะเงินฝืด

ทั้งนี้ จากผลตอบแทนในอดีต ดูจะสมเหตุสมผลที่จะสรุปว่า พอร์ตโฟลิโอที่สมดุล (Balance Portfolio) ของสัญญา ซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าที่มีหลักทรัพย์ประกันมีแนวโน้มที่จะให้ส่วนชดเชยความเสี่ยงในอนาคตระยะ ยาวต่อปีที่ประมาณร้อยละ 3

อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ที่น่าสนใจนี้มีข้อเสียอยู่ประการหนึ่งเนื่องจากตลาดที่สามารถลงทุนได้มีขนาดค่อนข้าง เล็ก ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย ถ้านักลงทุนไม่ว่าจะเป็นรายบุคคล หรือนักลงทุนสถาบัน ต่างหันมาเพิ่มสัดส่วนในการลงทุนในสัญญาซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าพร้อมๆ กัน

สำหรับข้อมูลวิเคราะห์ฉบับนี้ไม่รวมสกุลเงินดิจิทัล เนื่องจากยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีการบ่งชี้ว่า การที่สกุลเงินดังกล่าวสามารถป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อได้นั้นเป็นเรื่องเท็จอย่างชัดเจน

ด้าน Axel Lehmann, Chairman of the Board of Directors of Credit Suisse Group AG and Chair ของสถาบันวิจัย Credit Suisse Research Institute กล่าวว่า

“เรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้นาเสนอรายงานประจาปีของเครดิต สวิส ฉบับที่15 ซึ่งเป็นความร่วมมืออันยาวนานกับคณาอาจารย์ท่านต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องด้วยการพัฒนาทางภูมิศาสตร์ และเศรษฐกิจเมื่อปีที่ผ่านมาทำให้นักลงทุนในตลาดจำนวนมากเข้าสู่สภาวการณ์ที่ไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อสูง เพราะเหตุนี้มุมมองทางประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และด้วยความคาดหวังที่ดู เหมือนจะถูกกาหนดโดยอดีตที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนจำนวนมากได้รับการเตือนจากการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานในระยะยาว สองสามข้อของรายงานประจาปีฉบับนี้เกี่ยวกับความยากลาบากในปี 2565 อย่างเรื่องของกฎของความเสี่ยงและ ผลตอบแทน (the laws of risk and reward)”

ด้าน ศาสตราจารย์ Paul Marsh จาก London Business School กล่าวเสริมว่า

“ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน อาจเป็นเรื่องง่ายที่จะสูญเสียมุมมองด้านการลงทุนระยะยาว รายงานประจา ปีฉบับนี้ซึ่งมีฐานข้อมูลย้อนหลังไปถึง 123 ปี มีแหล่งข้อมูลและประสบการณ์มากมายที่จะช่วยให้ผู้อ่านเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนในอนาคตโดยการเรียนรู้จากอดีต”

กลุ่มตลาดหุ้นในรายงานประจำปีฉบับนี้คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 95 ของตลาดหุ้นโลกในปี 2533 ซึ่งรวมถึงตลาดใหม่ 12 ประเทศที่ได้นาเสนอในฉบับปี 2564 และ 2565 โดยรายงานประจำ ปีฉบับนี้ซึ่งรวบรวมข้อมูลทั้ง 35 ประเทศ ครอบคลุมตลาดการลงทุนทั่วโลกถึงร้อยละ 98 และดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ (Composite Index) ของแต่ละประเทศทั่วโลก

รวมถึงดัชนีทั่วโลกที่ไม่รวมสหรัฐอเมริกา ยุโรป ตลาดประเทศพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ โดยมี ประวัติยาวนานถึง 123 ปีเต็ม ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ได้มีการรวบรวมดัชนีราคาหุ้นเพิ่มเติมอีก 55 ประเทศเข้าไว้ด้วยกัน รายงานประจำปี 90 ประเทศฉบับนี้จึงครอบคลุมตราสารทุนทั่วโลกได้ครบถ้วน

รายงานมูลค่าผลตอบแทนการลงทุนระดับโลกประจาปีประกอบด้วย 9 หมวดสำคัญ โดยหมวดที่ 1-8 เน้นเรื่อง ผลตอบแทนสินทรัพย์ระยะยาว สกุลเงิน ความเสี่ยงและค่าชดเชยความเสี่ยง ผลตอบแทนที่คาดหวัง การลงทุนแบบ Factor Investing สินค้าโภคภัณฑ์และข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ ส่วนหมวดที่ 9 จะเป็นเรื่องการประเมินตลาดสำคัญทั้ง 35 ตลาดและดัชนี Composite Index 5 รายการซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญของรายงานประจำปีนี้

Back to top button