เปิดโผ 9 หุ้น “โรงไฟฟ้า” โชว์กำไรปี 65 แกร่ง ชู BPP โต 84%

เปิด 9 หุ้น กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน BPP, SSP, GULF, TSE, GUNKUL, BCPG, EA, CKP และ PRIME โชว์กำไรปี 65 โตแกร่ง ชู BPP โตสุด 84%


บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (บจ.) BPP ประกาศงบการเงินงวดปี 2565 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565) ออกมาครบถ้วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งพบว่ามีหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนผลการดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนหลายๆบริษัท โดยเฉพาะตัวมาร์เกตแคปขนาดใหญ่

โดยหุ้นโรงไฟฟ้ามีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น อาทิ BPP, SSP, GULF, TSE, GUNKUL, BCPG, EA, CKP และ PRIME

บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,738.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.52% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,127.03 ล้านบาท ซึ่งรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ Temple I ในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่สูงขึ้นจากการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนใน Sunseap และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสา (HPC) ซึ่งมีการเดินเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจากโรงไฟฟ้าถ่านหินซานซีลู่กวง (SLG) ที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าและราคาขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการเริ่มขายไฟฟ้าในตลาดค้าส่งไฟฟ้า กอปรกับการเข้าทำสัญญาซื้อถ่านหินระยะยาวได้ในราคาที่ดี ทให้ต้นทุนถ่านหินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้เมื่อผลประกอบการออกมาแข็งแกร่งทางที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ วันที่ 22 ก.พ. 2566 ประกาศจ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ก.ค. 2565 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2565 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท กำหนดไม่ได้รับสิทธิเงินปันผล (XD) วันที่ 10 เม.ย. 2566 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 เม.ย. 2566

นอกจากนี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินแนวโน้มในปี 2566 ว่าคาดกำไรปกติที่อยู่ในเกณฑ์ดี จาก Temple I และกำไรที่สูงขึ้นจาก SLG และกลุ่ม BIC จากต้นทุนถ่านหินที่ลดลงและโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมใหม่ขนาด 30 เมกะวัตต์ ในเวียดนาม ซึ่งกำหนดเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2/2566 ส่วน HPC น่าจะปิดซ่อมบารุงตามแผนนานขึ้นในปี 2566 ระยะเวลา 44 วันในไตรมาส 1/2566 และ 70 วันในไตรมาส 4/2566 ในขณะที่ Nakoso น่าจะปิดซ่อมบำรุงตลอดปี 2566

อย่างไรก็ตามยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18 บาท คิดว่า BPP เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวจากการเติบโตที่ยั่งยืน

บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,301.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.54% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 859.01 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งรับรู้กำไรพิเศษในไตรมาส 2/2565 จากขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ฮิดากะ ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงรับรู้กำไรเต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ LEO 1 ในประเทศญี่ปุ่น สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 20 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในประเทศเวียดนาม สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 48 เมกะวัตต์

ขณะเดียวกันยังมีการรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าวินด์ชัยฟาร์ม สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 45 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 25% ในเดือนมีนาคม 2565 และจะเห็นว่าโครงการต่างๆที่บริษัทฯเข้าไปลงทุนล้วนเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างรายได้ในระดับที่ดีมาโดยตลอด

ทั้งนี้ เมื่อผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งทางที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯในวันที่ 27 ก.พ. 2566  มีมติอนุมัติประกาศจ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 10 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และจ่ายปันผลเป็นเงินสดอีก 0.0611111114 กำหนดผู้ที่ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล (XD) วันที่ 3 พ.ค. 2566 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 พ.ค.2566

นอกจากนี้ บล.ดาโอ ระบุว่า มีการปรับรายได้รวมปี 2566 ลงมาที่ 3.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน แต่ลดลง 5% จากประมาณการเดิม โดย key driver เป็นการรับรู้รายได้เต็มปีโครงการร่มเกล้าวินฟาร์ม 11MWe และค่า Ft ในระดับสูงทำให้มีรายได้จากการผลิตไฟฟ้าในธีม Adder มีมากขึ้น โดย SSP มีกำลังการผลิตไฟฟ้าราว 120 ล้านหน่วยต่อปี ซึ่งได้ประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าว มีการปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 14.00 บาท (เดิม 16.00 บาท)

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 11,417.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.85% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 7,670.30 ล้านบาท โดยมีปัจจัยบวกจากรายได้ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติปี 2565 อยู่ที่ 80,750 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 79.6% ของรายได้รวม ซึ่งจากรายได้ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 และราคาขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามราคาต้นทุนก๊าซธรมชาติ

รวมถึงรายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียนสำหรับปี 2565 อยู่ที่ 8,486 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.4% ของรายได้รวม ซึ่งจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้า BKR2 และรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาภายใต้ GULF1 อีกทั้งรายได้จากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคสำหรับปี 2565 อยู่ที่ 4,212 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2% ของรายได้รวม ซึ่งเกิดจากความคืบหน้าของงานก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม MTP3 ในส่วนของงานถมทะเล

ทั้งนี้ เมื่อผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 151% โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 2 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2566 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 5 เมษายน 2566

นอกจากนี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า คาดว่ากำไรปกติในปี 2566 จะเพิ่มเป็น 13 พันล้านบาท จากกำไรสุทธิจาก Hin Kong และGSRC รวมถึงกำไรที่สูงขึ้นจาก SPP และ IPP จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นหลังการกลับมาเปิดเศรษฐกิจ อีกทั้งกำลังการผลิตที่โตเพิ่มจากการประมูลที่กาลังจะเกิดขึ้นสาหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาด 5.2GW ในประเทศไทย และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH

ขณะเดียวกันยังคงเป้าพลังงานหมุนเวียนปี 2566 จากทั้งในและต่างประเทศไว้ที่ 7-8GW พร้อมคิดว่ากำไรสุทธิจะโตเร่งขึ้นในปี 2566-2567 จากโครงการใหม่ ๆ คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 58 บาท

บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 723.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.90% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 492.71 ล้านบาท โดยเป็นผลจากกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV Farm) ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น โครงการ “ฮานามิซึกิ” (Hanamizuki) ให้แก่นักลงทุนสถาบันในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม 2565 และจากความสามารถในการบริหารต้นทุนขายและบริการ และค่าใช้จ่ายในการบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกันบริษัทฯ รับรู้รายได้ในโครงการใหม่จากการเข้าซื้อ โครงการ “ซอยล์กรีต” โซลาร์ฟาร์มประเภท Solar Tracking ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งและเสนอขายไฟฟ้า 8 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ทันทีตั้งแต่ไตรมาส 3/2565 ที่ผ่านมา ในส่วนของต้นทุนขายและบริการลดลงเหลือ 892.94 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 1,075.24 ล้านบาท เนื่องจากนโยบายการบริหารจัดการต้นทุนของโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวลที่ดีขึ้น

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL รายงานผลการดำเนินงานปี 65 บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,010.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.05% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2,229.27 ล้านบาท ซึ่งมาจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจำนวน 354.25 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.02 โดยมีรายการขายในส่วนของอุปกรณ์ไฟฟ้าเช่น Gas Switch, Surge Arrester และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นกับหน่วยงานการไฟฟ้าและเอกชน

ทั้งนี้ เมื่อผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เตรียมปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2565 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2565 และกำไรสะสม เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิ์ปันผล (XD) วันที่ 26 เม.ย.2566 และวันจ่ายเงินปันผล 22 พ.ค.2566

นอกจากนี้ บล.ดาโอ ระบุว่า ประมาณการกำไรปกติปี 2566 อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดย demand สินค้ากัญชง-กัญชา ในประเทศยังเป็นประเด็นให้ติดตามในปี 2566 ว่าจะ ramp up ได้เร็วเพียงใดคาดจะมีการอัพเดททิศทางและเป้าหมายสาหรับธุรกิจดังกล่าวอีกครั้งจากทางบริษัท โดย earningscontribution ในส่วนของธุรกิจกัญชง-กัญชา อยู่ที่ราว 20% ของประมาณการกำไรปี 2566 ทั้งนี้คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 5.70 บาท

บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,630.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.80% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2,010.82 ล้านบาท โดยมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นมีรายได้จากการดำเนินงาน 996.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมนัยสำคัญจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการชิบะ 1 (Chiba 1) โครงการโคมากาเนะ (Komagane) และโครงการยาบุกิ (Yabuki) ซึ่งทยอยในเดือนพ.ย.64, มี.ค.65 และเม.ย.65 ตามลำดับ รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำในสปป.ลาว มีรายได้จากการดำเนินงาน 1,178.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากช่วงปี 64 เป็นผลจากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า

นอกจากนั้นกลุ่มบริษัทฯ ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน (หลังหักค่าตัดจำหน่าย) จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์อยู่ที่ 33.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.5 จากการรับรู้เงินชดเชยรายได้จากการประกันภัย และการรับรู้อัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวสามารถชดเชยผลกระทบจากปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าที่ลดลงได้

ทั้งนี้ เมื่อผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ วันที่ 20 ก.พ. 2566 จ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2565 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2565 เป็นเงินสดในอัตรา 0.16 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 3 มี.ค. 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 เม.ย. 2566

นอกจากนี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า คาดว่า BCPG ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในการปิดช่องว่างในด้านกำไรจากการสิ้นสุดของค่า adder ในโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์แต่ยังสามารถเสริมสร้างการเติบโตของกำไรหลังปี 2565 ได้อีกด้วยพร้อมกับแผนยุทธศาสตร์ในการเพิ่มกาไรจากโครงการใหม่ ๆ โดยใช้เงินสดที่ได้จากการเพิ่มทุน ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13 บาท

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 7,604.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.66% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 6,100.07 ล้านบาท โดยรับรู้จากกลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าและธุรกิจขนส่งมวลชน ซึ่งมีรายได้สูงขึ้นประมาณ 10 เท่า รวมถึงธุรกิจแบตเตอรี่

ประกอบกับที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ วันที่ 24 ก.พ. 2566 จ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2565 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2565 เป็นเงินสดในอัตรา 0.30 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 10 มี.ค. 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 19 พ.ค. 2566

นอกจากนี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า มุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับแนวโน้มกำไรของ EA จาก 5 ปัจจัยผลักดันในปี 2566 (1)ปริมาณขาย e-bus และ e-truck ที่สูงขึ้น (2) การขยายกาลังการผลิตของโรงผลิตแบตเตอรี่ระยะที่ 1 ขนาด 1GWh เป็น 2GWh ภายในสิ้นปี 2566 (3) ปริมาณขายที่สูงเกินคาดจากผลิตภัณฑ์ดีเซลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (4) การเปิดตัว EV ใหม่ประกอบด้วย MINE MiniTruck และ MINE Locomotive (100% ภายใต้ MINE Mobility) จากโรงงาน MINE SPA1 และ (5) กาลังการผลิตในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังลมที่อาจเพิ่ม 100-200MW จากการประมูลโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาด 5.2GW ในประเทศไทยที่กาลังจะเกิดขึ้นซึ่งคาดว่าจะประกาศในเดือนมี.ค. 2566

อย่างไรก็ตามในปี 2566 คาดว่า EA จะส่งมอบ e-bus 2,000 คันและ e-truck 2,000 คันผ่าน Nex Point (NEX TB, NR) จากความต้องการ EV ที่อยู่ในระดับสูงในประเทศไทย แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 108 บาท

บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,436.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.80% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2,179.01 ล้านบาท โดยรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วมจำนวน 2,128.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.3% ส่วนใหญ่มาจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน XPCL ซึ่งเป็นบริษัทร่วมของบริษัท เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี มีปริมาณน้ำไหลผ่านเฉลี่ยมากกว่า 9 ปีก่อน ส่งผลให้ปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ วันที่ 20 ก.พ. 2566 จ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2565 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2565 เป็นเงินสดในอัตรา 0.085 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 3 พ.ค. 66 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พ.ค.2566

นอกจากนี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ในปี 2566 คาดว่ากำไรสุทธิจะโตต่อเนื่องจากงวดเดียวของปีก่อน จากระดับการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้นของ XPCL ตามระดับน้าที่สูงขึ้นตามฤดูกาล ในขณะที่ NN2 รักษาระดับน้าที่เพียงพอในอ่างกักเก็บนอกจากนี้กำไรสุทธิของ BIC อาจเพิ่มจากต้นทุนก๊าซที่อาจลดลงจากไตรมาสก่อน เมื่อพิจารณาจากอุปทานก๊าซที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งก๊าซเอราวัณในประเทศไทยและ Zawtika ในพม่าพร้อมความต้องการที่สูงขึ้นจากผู้ใช้อุตสาหกรรมหลังการกลับมาเปิดเศรษฐกิจเต็มรูปแบบและการขึ้นค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิง คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.5 บาท

บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 137.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.37% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 130.08 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมาจากรายได้จากการขายไฟฟ้าซึ่งผลการดําเนินงานที่เติบโตนี้มาจากการ COD 60 เมกะวัตต์ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศกัมพูชาและโครงการต่างๆในประเทศไต้หวัน

Back to top button